02 สิงหาคม 2551

ยุธิษเฐียร

ยุธิษเฐียร ยุธิษเฐียรผู้เป็นพระเชษฐาองค์ใหญ่ในหมู่กัษตริย์ปาณฑพทั้งห้าเป็นโอรสของพระนางกกุนตีกับพระธรรมเทพ (พระยม) ได้ทรงเป็นหัวหน้าฝ่ายปาณฑพในการทำมหาสงครามชิงราชย์นครหัสตินาปุระกับทุรโยธน์กัษตริย์ ผู้เป็นหัวหน้าฝ่ายเการพผู้เป็นพระญาติในสายจันทรวงศ์เช่นเดียวกัน การสงครามใหญ่อันมีชื่อว่ามหาภารตะนั้นกระทำกันที่ทุ่งกุรุเกษตร ฝั่งขวาของแม่น้ำยมุนาอันศักดิ์สิทธิ์ เป็นเวลา ๑๘ วันและยุติลงโดยฝ่ายปาณฑพกับพวกพ้องได้ชัยชนะอย่างเด็ดขาด ยุธิษเฐียรเสด็จขึ้นครองราชย์อีกครั้งหนึ่ง ณ นครหัสตินาปุระซึ่งรวมนครอินทรปรัสถ์เข้าด้วยกัน พระผู้เป็นโอรสแห่งพระยมทรงปกครองไพร่ฟ้าอาณาจักรด้วยความยุตืธรรมและยังความไพบูลย์ให้บังเกิดแก่บ้านเมืองเป็นอเนกประการ จากนั้นมินานทรงทำพิธียิ่งใหญ่ ๒ อย่างคือพิธีราชสูยะ (พิธีเสริมเดชานุภาพ) และพิธีอัศวเมธ (พิธีแผ่เดชานุภาพ) ขยายอาณาจักรออกไปจนสุดแผ่นดินโลก ในที่สุดทรงทราบข่าวสลดพระทัยว่าบังเกิดไฟป่าเผาผลาญวนาสณฑ์ริมฝั่งยมุนาทางทิศเหนือวอดวายและไฟนั้นได้ครอกชีวิตพระเจ้าธฤตราษฎร์ผู้เป็นพระปิตุลา (ลุง) ถึงสิ้นพระชนม์ขณะบำเพ็ญพรตอยู่ในป่านั้น พระองค์ทรงไตร่ตรองถึงภาพความไม่เที่ยงแท้ของชีวิต อันไม่อาจมีใครกำหนดรู้ได้ว่าวันใดมฤตยูจักมาเยือน พระองค์จะหลงเพลิดเพลินอยู่ในโลกนี้ได้นานเพียงใด “อนิจจาโลกนี้หนอ ช่างหาความยุติธรรมมิได้เลย การสิ้นสูญพระชนม์ชีพของพระปิตุลาเป็นการเตือนให้เราตระหนักว่าเวลาที่เราจะต้องอำลาโลกเช่นเดียวกับพระองค์นั้นได้มาถึงแล้ว ถึงคราวแล้วที่เราจะต้องไป” ทรงตัดสินพระทัยแน่นอนแล้วตรัสเรียกพระอนุชาร่วม พระทัยทั้งสี่พระองค์คือ เจ้าชาย ภีมะ อรชุน นกุล สหเทพ พร้อมด้วยอัครมเหสีคู่ทุกข์คู่ยาก คือพระนางเทราปทีเข้ามาเฝ้าทรงแจ้งให้ทราบพระดำริว่า “น้องเราทั้งสี่คน และ กฤษณายอดชีวิต เราได้ตั้งอาณาจักรและดำรงคงมั่นมาแล้วช้านาน นับได้ว่าปฎิบัติภารกิจต่อโลกโดยสมบูรณ์แล้ว บัดนี้ถึงคราวที่จะต้องสละราไชศวรรย์ออกเดินทางจาริกแสวงบุญเป็นครั้งสุดท้าย ตามธรรมเนียมที่จะต้องกระทำกันในบั้นปลายแห่งชีวิต เราจะพากันไปจาริกไปสู่เทวโลกอันตั้งอยู่บนยอดเขาพระสุเมรุ จะไม่หวนกลับมาอีก แผ่นดินนิ้จะมอบให้อภิมันยุลูกคนโตของอรชุนปกครองสืบไป จะทำการราชาภิเษกให้เสร็จสิ้นในเจ็ดวันนี้” หลังจากพิธีราชาภิเษกพระเจ้าอภิมันยุ กัษตริย์ทั้งห้าพร้อมด้วยพระนางเทราปทีมเหสีก็เริ่มออกเดินทางมุ่งขึ้นสู่ทิศเหนือหมายเอาสวรรค์ไตรตรึงศ์ของพระอินทร์เป็นจุดหมายปลายทางในที่สุด ระหว่างที่ไต่เต้าตามกันไปจนพ้นแนวป่าใหญ่ มินานก็บรรลุถึงเชิงภูผาอันทอดแนวยาวลิบลับสุดสายตา และ ณ เชิงถูผาพระสุเมรุนี้เอง มีสุนัขสีขาวปลอดน่ารักตัวหนึ่งมาจากที่ใดไม่ปรากฎเข้ามาสมทบร่วมขบวนเดินทางด้วย พระราชาทั้งห้าและพระเทวีต่างยืนดีที่ได้สหายหน้าใหม่มาเป็นผู้แก้เหงา รอนแรมมาด้วยความยากลำบากช้านานทั้งคนทั้งสุนัข ในที่สุดก็ขึ้นสู่เนินอันสูงชันแห่งจอมภูผา ซึ่งทอดยอดทะมึนหายลับไปในหมู่เมฆ และที่ไหล่เขานี้เองพระนางเทราปทีมเหสีคู่ยากก็ล้มลงสิ้นพระชนม์เป็นคนแรก การสิ้นชีวิตโดยฉับพลันของพระนางยังความเศร้าสลดอย่างลึกซึ้งต่อสวามีทั้งห้าโดยทั่วหน้า ภีมะเป็นเจ้าชายปาณฑพองค์ที่สองทรงคร่ำครวญถึงนางด้วยความอาลัยและทูลถามยุธิษเฐียรด้วยความสงสัยว่า “พระองค์เจ้าข้า โปรดชี้แจงให้ทราบด้วยเถิดว่าทำไมเทราปทีจึงต้องตาย นางทำผิดอะไรเล่า นางเป็นเมียที่ดีที่สุดของเรา เป็นนางแก้วที่ล้ำเลิศยากจะหาหญิงใดเปรียบได้ หญิงที่มีคุณธรรมเห็นปานนี้ยังต้องตายไปก่อนพวกเรา นางตายเพราะอะไรพระเจ้าข้า” “ดูก่อนภีมะ เจ้าอย่าโศกเศร้าเกินเหตุ ความตายของสัตว์โลกทั้งหลายไม่เป็นสิ่งอัศจรรย์ ไม่เป็นสิ่งเหลือวิสัยแต่ประการใดเลย มรณะเป็นของเที่ยงแท้ แม้เราเองก็ต้องตายไม่วันใดก็วันหนึ่ง การที่เทราปทีตายลงในบัดนี้ก็เพราะนางถึงกาละของนางแล้ว อีกประการหนึ่งการที่นางตายไปก่อนเราก็ด้วยมลทิลโทษของนางมีอยู่แม้จะน้อยนิดเดียวก็ยังนับว่าเป็นบาปอยู่นั่นเอง” “คืออย่างไรพระเจ้าข้า” “ภีมะเอ๋ย กฤษณา เป็นยอดหญิงที่เพียบพร้อมด้วยคุณธรรมก็จริงแล แต่นางก็ยังมีบาปอยู่หน่อยหนึ่งตรงที่ว่า นางเคยแสดงความหึงหวงครั้งหนึ่งในวาระที่อรชุนแต่งงานกับนางสุภัทรา นางไม่อาจจซ่อนความรู้สึกอันเป็นโทษนั้นเสียได้ การแสดงออกซึ่งความลำเอียงเช่นนี้แม้เป็นเรื่องเล็กน้อย แต่ก็ยังนับว่าเป็นบาปอยู่ดี”
สี่กัษตริย์ช่วยกันเผาศพนางเทราปทีแล้วก็ตัดสินใจออกเดินทางต่อไป ต่อมาอีกไม่นาน สหเทพ ผู้เป็นน้องคนสุดท้องก็ล้มลงสิ้นชีพไปอีกผู้หนึ่ง เมื่อภีมะทูลถามว่าทำไมสหเทพจึงต้องตาย ยุธิษเฐียร ก็เฉลยว่า “สหเทพเป็นคนที่หยิ่งทะนงตน ไม่เคยเห็นใครดีเสมอด้วยตนนึกว่าตนนั้นแลประเสริฐสุด ข้อนี้เป็นบาปเป็นมลทินของน้องเรา เขาต้องตายไปเพราะความบกพร่องในคุณธรรมข้อนี้แหละ” ต่อมามิช้าก็ถึงคราวของนกุลผู้เป็นน้องฝาแฝดของสหเทพ “สำหรับนกุล น้องเราผู้นี้ได้ชื่อว่ารูปงามนัก งามอย่างหาชายใดในสามโลกเสมอเหมือนมิได้ ทำให้เขาหยิ่งลำพองและภูมิใจในความงามอย่างยิ่งยวด วันหนึ่งๆ หมดไปด้วยการส่องกระจกหลงชมโฉมของตัวเอง การลุ่มหลงขาดสติเช่นนี้เป็นมลทินโทษ เป็นบาปประการหนึ่งอันบุรุษผู้มีปัญญาไม่พึงกระทำ” เมื่อขบวนนักจาริกแสวงบุญเดินทางขึ้นไปถึงกึ่งกลางเขาพระสุเมรุ พระอรชุนยอดนักรบผู้มีฝีมือเกริกไกรหาใครเทียมมิได้ก็ล้มลงสิ้นใจ การตายโดยไม่คาดคิดของจอมนักรบอันใครๆมิพึงคาดฝันเช่นนี้ทำให้ภีมะตกใจแทบหมดสติ รีบทูลถามพระธรรมบุตรทันทีว่า “พระเจ้าพี่ ไฉนอรชุนผู้หแกร่งกล้าหาคนเทียบไม่ได้ผู้นี้จึงต้องตายด้วยเล่า เขาตายได้อย่างไรกัน ใครเลยจะคิดบ้างว่าอรชุนจะตาย อย่างไร้เกียรติในบริเวณภูผ่าป่าดงเช่นนี้” “ความตายไม่เลือกสถานที่หรอกภีมะเอ๋ย” ยุธิษเฐียรตรัสแผ่วเบาเหมือนรำพึงกับตัวเอง “ แต่จะว่าไป อรชุนแม้จะเป็นผู้เลิศเพียงไรเขาก็ยังมีบาปอยู่ดี อรชุนเป็นคนดีแต่ปาก เขาเคยโอ้อวดว่าผีมือล้ำเลิศอย่างเขา ถ้าจะทำจริงๆแล้ว แม้แต่ข้าศึกตั้งหมื่นตั้งแสนเขาก็อาจจะประหารให้ย่อยยับในพริบตาเดียว แต่เขาทำได้หรือเปล่า เจ้าก็เห็นแล้วไม่ใช่หรือ ข้าศึกในทุ่งกุรุเกษตรมีตั้งเท่าไร และอรชุนประหารได้หมดสิ้นดังปากว่าหรือหาไม่ การพูดแล้วทำไม่ได้ถือว่าเป็นการโอ้อวดที่ไร้แก่นสาร เป็นมลทิลโทษ เป็นบาปอย่างหนึ่ง” ครั้นมาเกือบถึงยอดเขาพระสุเมรุ แลเห็นประตูสวรรค์อยู่ลิบๆเบื้องหน้า พลันภีมะก็สิ้นแรงล้มผางลง ก่อนจะสิ้นลมปราณ ภีมะรีบถามเจ้าพี่ทันทีว่า “พระเจ้าพี่ แล้วน้องเล่า น้องทำบาปอะไรจึงต้องตายเยี่ยงนี้” ยุธิษเฐียรตื้นตันพระทัยด้วยความสงสาร มีพักตร์อันเผือดสลด ทรงอธิบายว่า “ภีมะเอ๋ย ในกระบวนน้องๆของข้าทุกคน เจ้าเป็นคนที่หัวใจบริสุทธิ์กว่าเพื่อน มีหัวใจอันผ่องแผ้วเหมือนเด็กๆ ไร้มายา ไร้จริต แต่เจ้าก็เป็นคนมูมมามไม่ระมัดระวังในการกิน อีกอย่างหนึ่งเวลาโกรธก็เหลือสติกำลัง ไม่เคยยังยั้งชั่งใจ จนใครๆเขาตั้งฉายาเจ้าว่า แม้ยังไม่ทันจะเข่นฆ่าศัตรู ลมหายใจของเจ้าก็สาปให้ศัตรูตกใจจนตายไปก่อนแล้ว” ภีมะสิ้นชีวิตไปแล้ว พระธรรมบุตรเผาศพน้องด้วยความหดหู่หัวใจ มีความอ่อนระโหยแทบจะหมดเรี่ยวแรงล้มลง ในขณะนั้น ประตูเมืองสวรรค์ก็เปิดออก พระอินทร์ผู้เป็นจอมเทพพร้อมด้วนเทพบริวารเสด็จมาต้อนรับและกล่าวเชิญชวนให้เสด็จเข้าสู่แดนบรมสุข แต่มีข้อท้วงติงว่า “ข้าแต่อารยะบุตร พระองค์ควรทิ้งสุนัขไว้ที่นี่แหละ สวรรค์เป็นแดนอันประเสริฐ จะเอาสัตว์เดียรัจฉานเข้าไปเหยียบย่ำมิได้ เป็นข้อห้ามเด็ดขาด โปรดปล่อยมันไว้ที่นี่เถิด” ยุธิษเฐียรทรงก้มลงกอดสุนัขนั้นไว้และลูบศรีษะมันด้วยความปราณีตรัสว่า “ข้าแต่พระมัฆวาน สุนัขตัวนี้สู้ติดตามพวกเรามาด้วนความซื่อสัตย์ภักดี เป็นเพื่อนคู่ทุกข์คู่ยาก โปรดทรงพิจารณาเถิดว่าเมื่อยากลำบากเพื่อนก็ลำบากด้วยกัน ครั้นยามมีสุขจะทอดทิ้งเพื่อนได้ลงคอกระนั้นหรือ ถึงมันจะเป็นเพียงสุนัขต่ำต้อยตัวหนึ่ง แต่มันเป็นเพื่อนของข้าพเจ้า ข้าพเจ้าทอดทิ้งมันไม่ได้หรอก ถ้าท่านรังเกียจเพื่อนของข้าพเจ้า ข้าพเจ้าก็ควรถูกรังเกียจด้วย ขอบพระทัยพระองค์ยิ่งนักทีทรงเชื้อเชิญข้าพเจ้าให้เข้าสู่สวรรค์ของพระองค์ แต่ข้าพเจ้าไม่เข้าไปดอก ขอไปตามทางของข้าพเจ้ากับเพื่อนผู้นี้ตามยถากรรม ขอลาแต่เพียงนี้” ตรัสจบจอมกัษตริย์ก็หันหลังกลับ ทันใดนั้นสุนัขน้อยก็กลายร่างไปทันที เป็นพระยมเจ้าแห่งความตายปรากฎขึ้นต่อหน้า เปล่งรัศมีเพริศพราย พระหัตถ์ทรงบ่วงยมบาศ(๑) และไม้เท้ายมทัณฑ์ พระธรรมราชาทรงแย้มยิ้มด้วยความพอพระทัย ตรัสว่า “ยุธิษเฐียรลูกรัก เจ้าเป็นคนใจงามยิ่งนัก มีความยุติธรรมและเห็นอกเห็นใจผู้อื่น สมแล้วที่เป็นลูกพ่อ พ่อได้ทดลองใจเจ้ามาตลอดเวลาโดยเจ้าไม่รู้ตัว จนถึงครั้งสุดท้ายนี้ บัดนี้เจ้าก็เดินทางมาถึงที่หมายสุดท้ายแล้ว พ่อขออวยพระให้เจ้าประสบความสุข มีชีวิตยืนยง มีเกียรติคุณปรากฎตลอดไปชั่วฟ้าดิน” ตรัสจบพระมฤตยุเทพก็หายวับไป (๑) ยมบาศ = บ่วงของพระยม ใช้สำหรับคร่าดวงชีวิตหรือปราณของสัตว์โลกทั้งหลายเอาไปนรก จากหนังสือกัลยาณวดี รวบรวมโดย อ.ศักดิ์ศรี แย้มนัดดา พิมพ์ครั้งแรก พ.ศ. ๒๕๓๖

1 ความคิดเห็น:

patyanni กล่าวว่า...

Casino, Hotel & Casino - Mapyro
Welcome to the 상주 출장마사지 Casino, Hotel & 양주 출장샵 Casino, Hotel 경산 출장안마 & Casino Mapyro. 정읍 출장마사지 Hotel / Casino, Hotel & Casino in Downtown Las Vegas. 제주 출장안마