02 สิงหาคม 2551

อสุรินทรราหู

อสุรินทรราหู ราหูเป็นพญาอสูรที่ทรงฤทธิ์ร้ายกาจ และมีความเป็นอมตะชั่วนิรันดรแต่ผู้เดียวในบรรดาหมู่อสูร ยักษ์ และแทตย์ ทั้งปวง ยิ่งกว่านั้นยังได้รับการเคารพกราบไหว้ของคนทั้งหลายราวกับเป็นเทพ ในเทวาลัยหลายแห่งมีรูปสลักและรูปหล่อของราหูสถิตอยู่บนแท่น และมีรูปพระจันทร์เสี้ยวประดับอยู่บนศรีษะ รางกับเทวรูปของพระอิศวรผู้ทรงได้ฉายาว่าพระจันทรเศขร หรือ “พระผู้ทัดจันทร์เป็นปิ่น” นั่นเทียว พญาอสูรร้ายเป็นบุตรของพระกัศยปเทพบิดรกับนางสิงหิกา ดังนั้นบางทีจึงมีผู้เรียกว่า ไสงหิเกยะ (แปลว่าลูกของนางสิงหิกา) เมื่อเกิดสงครามระหว่างทวยเทพกับเหล่าอสูรครั้งใด ราหูก็เป็นหัวเรี่ยวหัวแรงในการนำทัพอสูรเข้าบุกแดนอมราวดีของพระอินทร์ทุกครั้ง แต่ก็ไม่สามารถเอาชนะท้าววัชรินทร์ได้ ต้องถอยกลับมาทุกที การสงครามระหว่างทวยเทพกับอสูรอันมีชื่อว่าเทวาสุรสงครามนั้น ก็ยืดเยื้อติดต่อกันมาหลายพันหลายหมื่นปี วันหนึ่งพระศจีบดี (พระอินทร์) ทรงช้างเป็นเทพพาหนะท่องเที่ยวไปในท้องฟ้า ได้สวนทางกับพระทุรวาสมหาฤษี ซึ่งได้พวงมาลัยทิพย์จากอัปสรผู้หนึ่งและกำลังมึนเมาเพราะกลิ่นหอมของดอกไม้ทิพย์นั้น เมื่อพระมุนีแลเห็นท้าววัชรินทร์ผ่านมา ก็ถวายพวงมาลัยแด่ท้าวเธอทันที พระศักรินทร์รับพวงมาลัยแล้ววางไว้บนตระพองช้าง กลิ่นหอมประหลาดของมาลัยทิพย์ทำให้พญาช้างเกิดความมึนเมาบ้าคลั่ง และเอางวงจับมาลัยนั้นมาขยี้ทิ้งเสียด้วยเท้า ยังความขุ่นเคืองแก่พระมหามุนีเป็นอันมาก จึงสาปแช่งให้พระอินทร์และทวยเทพแพ้แก่อสูรตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา เมื่อเกิดสงครามกับอสูรอีก พระอินทร์ก็พ่ายแพ้ทุกครั้งและทวยเทพทั้งหลายก็ถูกฆ่าตายจนมีจำนวนลดลงอย่างมากมาย เมื่อสิ้นปัญญาจะสู้อีกต่อไป ท้าววัชรินทร์ก็พาทวยเทพที่เหลือเหาะหนีไปเฝ้าพระไวกูณฐนาถ เมื่อทรงทราบเรื่องแล้วจึงแนะแก่ทวยเทพว่า “ดูก่อนเทวะทั้งหลาย หนทางแก้ไขยังพอมีอยู่แต่ก็ลำบากยิ่งนัก ท่านจะมีกำลังกายกำลังใจกล้าแข็งสักปานใดจึงจะทำงานนี้ได้เล่า ท่านจะทำไหวหรือ” “ทำอะไรพระเจ้าข้า” “ก็กวนน้ำทิพย์มากินไงเล่า” พระเป็นเจ้าตรัสยิ้มๆ “เมื่อได้กินน้ำทิพย์แล้วก็จักไม่แก่ไม่เจ็บไม่ตาย จะมีชีวิตยืนยงชั่วฟ้าดิน แต่งานนี้มิใช่ของง่าย พวกท่านทำไม่ไหวหรอก จงทำดีต่อพวกอสูรเสียก่อนแล้วขอแรงอสูรมาช่วยกวนน้ำทิพย์จึงจะสำเร็จในที่สุด ท่านจงสัญญาแก่พวกนั้นว่าท่านจะแบ่งน้ำทิพย์ให้กึ่งหนึ่ง มันคงเต็มใจที่จะช่วยออกแรง แต่พอได้น้ำทิพย์แล้วเราค่อยหาทางหลีกเลี่ยงทีหลัง อย่ายอมให้มันกิน เอาเถิด เรื่องนี้ไว้เป็นภาระของเรา เราจะจัดการกับพวกมันเอง” เมื่อทวยเทพไปทำสัญญาตกลงกับอสูรเป็นผลสำเร็จแล้วพระวิษณุเป็นเจ้าก็ตรัสสั่งให้อสูรช่วยกันยกภูเขามันทรอันเป็นต้นกำเนิดแห่งมณีนพรัตน์มาตั้งลงในท่ามกลางแห่งทะเลน้ำนมในสวรรค์ไวกูณฐ์นั้น และให้บรรดาเทพทั้งหลายช่วยกันเก็บสมุนไพรนานาชนิดจำนวนมหาศาลมาทุ่มลงในเกษียรสาคร แล้วเอาพญานาควาสุกรี (วาสุกิ) มาพันรอบเขามันทรต่างสายเชือกสำหรับชักโยงให้เทวดาและอสูรช่วยกันดึงไปมาปั่นภูเขาให้หมุนติ้วเพื่อกวนน้ำนมในเกษียรสมุทรกับสมุนไพรอันทรงคุณวิเศษให้เจ้าด้วยกัน จักได้เป็นปัจจัยให้บังเกิดทิพยวารีในที่สุด เมื่อการดึงเชือกคือพญานาควาสุกรีเริ่มต้น เหล่าเทวดาก็หลบไปดึงทางหางนาค หลอกให้อสูรโง่เขลาทั้งหลายไปดึงทางหัวนาค ปั่นภูเขามันทรไปมาเป็นเวลาช้านานหลายร้อยปี พญาวาสุกรีนาคราชซึ่งร่างกายถูกเสียดสีรอบภูเขาอยู่ตลอดเวลาก็ปวดแสบปวดร้อนจนหนังถลอกปอกเปิกทนไม่ไหว ต้องอ้าปากคายพิษเป็นไฟแรงร้อนออกมาทีละน้อย ยังผลให้เหล่าอสูรร้อนรุ่มเหงื่อตกอ่อนแรงไปตามกัน ตรงข้ามกับฝ่ายทวยเทพที่ฉุดข้างหางของพญานาค นอกจากจะไม่โดนไอร้อนแล้ว ยังมีฝนโปรยปรายให้ชุ่มชื่นอยู่ตลอดเวลา ราหูเป็นผู้หนึ่งที่ต้องออกแรงฉุดทางหัวนาค ความเหนื่อยอ่อนและร้อนรุ่มอยู่ตลอดเวลาเหมือนตกนรกทั้งเป็น ทำให้ราหูต้องอดทนอย่างแสนสาหัสจะเลิกล้มเสียกลางคันก็นึกเสียดายเพราะไหนๆก็สู้ทนมาตั้งหลายร้อยปีแล้ว ความหวังใกล้จะสัมฤทธิผล เมื่อได้น้ำทิพย์แล้วค่อยคิดบัญชีกับเทวดาผู้มากด้วยกลโกลทีหลังดีกว่า ราหูจึงเป็นอสูรผู้เดียวที่มุ่งมั่นในใจอยู่ตลอดเวลาว่าจะต้องเป็นอมรให้ได้ และเมื่อถึงเวลานั้นแล้วจะคิดการใหญ่ต่อไป บางทีการจะยึดอำนาจเข้าปกครองสามโลกก็คงจะไม่เป็นความฝัน อย่างไรก็ดี ผู้ที่เดือดร้อนที่สุดและต้องเจ็บปวดแสนสาหัสยิ่งกว่าอสูรทั้งหลายก็ยังมีอยู่ พญานาควาสุกรีนั้นทนทุกข์ทรมานยิ่งกว่าใครทั้งหมด ร่างที่ผูกพันอยู่ด้วยเขามันทรอันหมุนติ้วดังลูกข่างนั้นชอกช้ำสะบักสะบอมเหลือประมาณ เมื่อกาลเวลาล่วงไปพันปีไม่อาจจะทนทานต่อไปได้อีก พญานาคผู้มีร่างใหญ่มหึมาก็พ่นพิษร้ายเป็นไฟกรดออกมา ควันพิษมหาศาลอันพลุ่งออกมาไม่ขาดระยะนั้น มีลักษณะดังภูเขาไฟระเบิดมืดคลุ้มไปทั้งจักรวาลและความแรงร้อนสุดประมาณนั้นก็แผดเผาจะทำลายสวรรค์และโลกให้พินาศย่อยยับเป็นภัสมธุลีลง ทวยเทพและอสูรเห็นดังนั้นก็ตกใจลนลานแตกตื่นหนีเอาชีวิตรอด แต่ก็สิ้นหนทางเพราะควันพิษนั้นปกคลุมมืดมิดไปทุกที่ ทันใดนั้นเองพระอิศวรมหาเทพก็เสด็จมาปรากฎพระองค์ ณ ที่นั้น และด้วยพระทัยอันเปี่ยมด้วยความเมตตากรุณาต่อสัตว์โลกและชีวิตทั้งหลายในพิภพ พระผู้เป็นเจ้าก็ตัดสินพระทัยอ้าพระโอษฐ์ออกดูดกลืนพิษร้ายเข้าสู่พระกายทันทีก่อนที่โลกและสวรรค์จะแตกทำลาย ไฟกรดอันเป็นพิษแรงร้ายก็เผาผลาญพระศอจนไหม้เกรียมเป็นสีดำดังนิล พระเป็นเจ้าจึงได้รับพระนามใหม่ว่า พระนิลกัณฐ์ (ผู้มีพระศอเป็นสีดำ) และพระนามนี้ก็กลายเป็นชื่ออันศักดิ์สิทธิ์ที่ไม่เพียงแต่จะติดอยู่ที่ริมฝีปากของมนุษย์และทวยเทพทั้งมวล แต่ยังจารึกอยู่ในหัวใจของทุกผู้ทุกนามตลอดไป เพราะนามนี้เป็นสัญลักษณ์ของความรักอันสูงสุด ความรักที่อดทนต่อความเจ็บปวดแสนสาหัสเพราะการเสียสละอย่างใหญ่หลวง และถึงแม้นกระนั้นก็ไม่เคยเรียกร้องขอความเห็นใจจากใครและไม่ทวงบุญคุณ
ทันใดที่ความมืดมิดผ่านไปและดวงสุริยะแผ่รังสีเจิดจรัสในท้องฟ้าทะเลน้ำนมอันปั่นป่วนมานับพันปีก็หยุดนิ่งสงบ ใความสงบนิ่งอันเป็นที่สุดแห่งความบากบั่นพยายามและเป็นการยุติความเหนื่อยยากที่ทรมานมาช้านานนี้เอง ของวิเศษสุด ๑๔ อย่างก็ทยอยกันผุดขึ้นจากเกษียรสาครตามลำดับ มีดวงจันทร์ ดวงแก้วเกาสตุภะ พระลักษมีเทวี นางวารุณี(เทวีแห่งเหล้า) ช้างไอราวัต (เอราวัณ) ม้าอุจไจศรพ ต้นปาริชาติ และอื่นๆ รวมทั้งนางอัปสรผู้งามเลิศอีก ๓๕ ล้านตน เมื่อถึงอันดับสุดท้ายแล้ว ธันวันตริ (ทัน-วัน-ตะ-ริ) แพทย์สวรรค์ก็ผุดขึ้นมาพร้อมกับทูนหม้อน้ำทิพย์ไว้ค่อยประคองวางลงบนแท่นบัวทองอันงามวิจิตรที่สถิตอยู่บนฝั่งเกษียรสมุทร ขณะนั้นทวยเทพและอสูรกำลังวุ่นวายยื้อแย่งของวิเศษและฉุดนางอัปสรไปเชยชม ไม่มีใครทันสังเกต สุรินทรราหูผู้มีใจอันมั่นคงหมายมุ่งในน้ำทิพย์เพียงอย่างเดียว ก็ลอบเข้าไปหยิบหม้อน้ำทิพย์แล้วหลบสู่พิภพบาดาลทันที การกระทำของพญาอสูรร้ายหาได้รอดพ้นจากสายพระเนตรของพระวิษณุไม่ พระองค์รีบแปลงกายเป็นนางงามออกติดตามไปทันที ด้วยความงามอันจับจิตและมหามนตร์อันศักดิ์สิทธิ์ของพระเป็นเจ้า ทำให้ราหูเกิดความเคลิบเคลิ้มเหมือนถูกสะกด จ้องมองดูนางด้วยความหลงใหล เมื่อเห็นพญายักษ์เผลอ พระวิษณุนางแปลงก็รีบฉวยหม้อน้ำทิพย์พากลับมายังฝั่งเกษียรสาครตามเดิม และพระเป็นเจ้าก็ประกาศให้ทวยเทพทั้งหลายมากินน้ำทิพย์โดยทั่วกัน ในขณะที่นางอัปสรพากันล่อบรรดาอสูรไปเสียอีกทางหนึ่ง ราหูได้สติเมื่อนางแปลงจากไปแล้ว แสนเสียดายน้ำทิพย์ที่ตกมาถึงมือแล้วกลับเสียทีถูกชิงเอาไปได้ ด้วยความแค้นและเสียใจ พญายักษ์ร้ายรีบออกติดตามทันที เมื่อมาถึงสวรรค์แลเห็นทวยเทพกำลังตักตวงน้ำทิพย์ดื่มกันวุ่นวาย พญาอสูรก็ร่ายมนตร์แปลงเป็นพราหมณ์ชราเข้าไปขอแบ่งน้ำทิพย์บ้างเทพทั้งหลายเห็นเป็นพราหมณ์ก็ไม่ระแวงตักน้ำทิพย์ส่งให้ด้วยใจยินดี พราหมณ์แปลงก็ดื่มอมฤตรสซาบซ่านทั่วสรีรกายหายเหนื่อยเมื่อยล้ามีเรี่ยวแรงอุดมสมบูรณ์กลายภาวะเป็นทิพยบุคคลไปทันที ฝ่ายพระจันทร์และพระอาทิตย์ลอยอยู่ในที่สูงแลเห็นการแปลงร่างของพญาราหูโดยตลอด ก็รีบกราบทูลพระวิษณุให้ทรงทราบทันที พระวิษณุจึงขว้างจักรชื่อ สุทรรศน์อันเป็นเทพศาตรามีฤทธิ์ร้ายกาจไปตัดร่างราหูขาดเป็นสองท่อนในขณะที่กำลังสาละวนดื่มน้ำทิพย์อยู่ เลือดของราหูหยดลงบนพื้นแดงฉาน แต่พญายักษ์หาได้สิ้นชีวิตไม่เพราะกลายเป็นอมรไปแล้ว ขณะเดียวกันน้ำทิพย์ที่กลืนเข้าไปบางส่วนก็หยดลงบนพื้นด้วย หยดเลือดนั้นหลายเป็นหอมแดงและหยดน้ำทิพย์กลายเป็นหอมขาว พระวิษณุจึงมีเทวประกาศิตแด่ธันวันตริแพทย์สวรรค์ว่า “ ธันวันตริ เจ้าจงจดไว้ในคัมภีร์อายุรศาสตร์ (คัมภีร์แพทย์) ของเจ้าเพื่อสั่งสอนมนุษย์สืบไปภายหน้าว่า หอมแดงนั้นเป็นโทษเพราะมีกำเนิดจากโลหิตของอสุรินทรราหู ผู้ใดบริโภคหอมแดงจะมีโรคภัยเบียดเบียนหาคุณประโยชน์มิได้ แต่ผู้ใดบริโภคหอมขาวจะมีพลานามันอันสมบูรณ์ จะปราศจากโรคาพาธและชีวิตจะยืนยาวเพราะหอมขาวเกิดจากอมฤตรสอันทรงคุณวิเศษหาสิ่งใดเสมอเหมือนมิได้” ตรัสแล้วพระเป็นเจ้าก็มอบหม้อน้ำทิพย์ที่ยังมีเหลืออยู่ให้พระอินทร์รับไปเก็บไว้ในสวรรค์ มิให้ผู้ใดมีโอกาสแตะต้องอีก เสร็จภารกิจอันวุ่นวายนับพันปีแล้ว พระเป็นเจ้าก็เอนพระองค์ลงไสยาศน์เหนือทิพยอาสน์อันแวดล้อมอยู่ด้วยวงขนดแห่งพญานาคราชเศษะกลางเกษียรสาคร มีพระภัทราลักษมีนั่งเฝ้าอยู่แทบปลายพระบาท ปรนนิบัติพัดวีด้วยความรักและภักดี พระเป็นเจ้าทอดพระเนตรดูด้วยความชื่นชมและพระเนตรอันเรียวยาวปานกลีบนีโลตบลก็ค่อยหรี่ลงทีละน้อยจนปิดสนิท เป็นการแสดงว่าได้เข้าสู่มหานิทราอันยาวนานอีกครั้งหนึ่ง และคงอีนานนับหมื่นแสนปีกว่าจะบรรทมตื่นอีกครั้งหนึ่ง เมื่ออธรรมเข้าครอบครองโลกและพระเป็นเจ้าต้องปราบปรามให้สิ้นไป พระเป็นเจ้าได้เข้าสู่ภาวะนารายณ์บรรทมสิทธุ์ไปแล้ว โลกและสวรรค์ก็อยู่ในความสงบร่มเย็นเช่นเดิมแล้ว แต่ไฟแค้นของอสุรินทรราหูยังลุกโพลงอยู่ ความแค้นแสนสาหัสที่ร่างกายถูกตัดเป็นสองท่อน (ท่อนบนเรียกว่า ราหู ท่อนล่างเรียกพระเกตุ) เป็นเพราะความปากบอนของพระอาทิตย์ และพระจันทร์ซึ่งกราบทูลพระเป็นเจ้าให้ทรงทราบโดยแท้ ก็การขอดื่มน้ำทิพย์นั้นเป็นความผิดไฉน ราหูมีสิทธิที่จะได้รับส่วนแบ่งตามสัญญา หาได้เป็นอาชญากรรมแต่ประการใดไม่ พระอาทิตย์และพระจันทร์จะต้องชดใช้บาปกรรมของตนด้วยการถูกลงโทษเสียบ้างจึงจะยุติธรรมและสาสม ด้วยเหตุนี้พญายักษ์จึงคอยหาโอกาสจับสูรยเทพและจันทรเทพมากลืนกินเสียด้วยความพยาบาท แต่พระอาทิตย์และพระจันทร์ก็หลุดล่วงพ้นไปได้ชั่วเวลาไม่นานเพราะราหูมีร่างกายเพียงครื่งท่อน เทพทั้งสองจึงหลุดไปได้ การจองเวรของอสุรินทรราหูทำให้เกิดสุริยคราสและจันทรคราสเรื่อยมา พระจันทร์นั้นอยู่ใกล้หน่อยจึงถูกจับกินลบ่อยครั้งแต่พระอาทิตย์นั้นอยู่สูงกว่าถึงหมื่นโยชน์จับลำบาก นานๆจึงจะได้โอกาสกลืนกินสักครั้ง ราหูมิได้ก่อการกำเริบเสิบสานคิดทำสงครามแย่งสวรรค์จากเทวดาเหมือนดังที่ปณิธานไว้แต่เดิมเพราะร่างกายของตนเหลือเพียงครึ่งเดียวเท่านั้น แต่ราหูก็เป็นทิพยบุคคลมีสภาพเหมือนเทพไปแล้ว พระธาดาพรหมจึงประทานเกียรติยศให้ราหูได้เป็นสมาชิกของเทวสภาด้วยผู้หนึ่ง นับว่าเป็นอสูรพิเศษเพียงผู้เดียวที่ได้รับเกียรติสูงส่งนี้และเป็นอสูรผู้เดียวอีกเช่นกันที่มีรูปบูชาอยู่ในเทวาลัยร่วมกับเทวรูปอื่นๆ

ไม่มีความคิดเห็น: