02 สิงหาคม 2551

สุกันยา

สุกันยา ฤษีจยวนะ (จยะ-วะ-นะ) เป็นบุตรของพระภฤคุพรหมฤษี ผู้เป็นโอรสของพระพรหม ชื่อ จยวะนะ มีความหมายว่า เกิดโดยตกจากครรภ์มารดา เพราะเมื่อนางปุโลมา ผู้เป็นมารดาตั้งครรภ์นั้น นางถูกอสูรลักพาไปในขณะที่พระภฤคุออกจากอาศรมไปอาบน้ำที่แม่น้ำ อสูรฉุดลากนางไปโดยพลการ และนางดิ้นรนทำให้ลูกในครรภ์ตกลงมายังพื้นดิน กุมารนั้นเปล่งรัศมีเจิดจ้าเป็นไฟเผาผลาญอสูรสิ้นชีวิต นางปุโลมามีความเสียใจที่บุตรคลอดออกมาโดยอุบัติเหตุ ทำให้มีรูปพิกลพิการตั้งแต่เด็กๆ นางอุ้มบุตรน้อยเดินร้องไห้กลับอาศรม น้ำตาของนางไหลอาบแก้มและตกลงบนพื้นดิน กลายเป็นแม่น้ำได้ชื่อว่า วธูสรา เมื่อพระภฤคุมุนีทราบเรื่องที่เกิดขึ้นก็โกรธพระอัคนี (เทพแห่งไฟ) เพราะตนได้ฝากฝังนางไว้ให้พระอัคนีดูแล แต่พระอัคนีมิได้เอาใจใส่ พระมหามุนีจึงสาปพระอัคนีให้เป็นผู้บริโภคทุกสิ่งทุกอย่างไม่ว่าสิ่งที่กินนั้นจะดีหรือเลวทรามโสโครกปานใด เพราะเหตุนี้ ตั้งแต่นั้นมาไฟจึงเผาไหม้ทุกสิ่งทุกอย่างโดยไม่เลือก การกำเนิดของฤษีจยวนะ ทำให้เกิดภาวะสองอย่างคือ เกิดแม่น้ำจากความเศร้าโศกเสียใจ และทำให้ไฟต้องเผาไหม้ทุกสิ่งทุกอย่างไม่ว่าดีหรือเลว เมื่อจยวนะเจริญวัยเป็นหนุ่ม ความพิกลพิการซึ่งมีมาแต่กำเนิดก็ปรากฏเด่นชัดขึ้น ฤษีหนุ่มมีร่างอันคดค้อม ใบหน้าอัปลักษณ์ และผิวหนังโดยทั่วเรือนร่างก็เหี่ยวย่นขรุขระดังเปลือกไม้ วันหนึ่ง พระภฤคุพรหมฤษีผู้เป็นบิดาเรียกจยวนะเข้ามาใกล้ กล่าวว่า “ลูกเอ๋ยเจ้าเกิดในตระกูลฤษีอันสูงส่ง พระเวทและวิทยาการใดๆพ่อก็ได้สอนแก่เจ้าหมดสิ้นแล้ว บัดนี้ถึงคราวที่เจ้าจะต้องออกไปแสวงหาสถานที่อันวิเวก เพื่อบำเพ็ญตบะกรรม ขัดเกลาจิตใจและกำจัดกิเลสให้สิ้นไป เพื่อบรรลุโมกษธรรมความหลุดพ้นในที่สุด เจ้าจะบำเพ็ญพรตโดยมุ่งเฉพาะพระเป็นเจ้าองค์ใดก็ได้ในสามองค์นี้คือ พระพรหม ผู้เป็นปู่ของเจ้า พระศิวะ ผู้เป็นใหญ่ ณ ไกรลาสพิมาน และพระวิษณุผู้สถิต ณ เกษียรสาครในสวรรค์ไวกุณฐ์อันไกลโพ้น ลูกจงเลือกตามใจสมัครของลูกเถิด พ่อหวังว่าเจ้าจะประสบความสำเร็จสมความปรารถนาในที่สุด เจ้าจงไปเถิด” จยวนะอำลาบิดาออกเดินทางไปสู่ทิศตะวันออกของภูเขาหิมาลัยอาศัยป่าเขาอันวิเวก ณ ถิ่นนั้นบำเพ็ญตบะอันยิ่งยวดมุ่งเฉพาะองค์พระธาดาพรหมเป็นเจ้า มิได้ไยดีต่อสิ่งใดๆ แม้อาหารและน้ำก็มิได้กินและดื่ม นั่งสมาธิภาวนาอยู่ช้านาน กระทั่งเวลาผ่านไป สองพันปี ปลวกขึ้นทำรังห่อหุ้มร่างโดยรอบ มองดูเหมือนเนินดินสูงตระหง่านมีแต่โพรงเล็กๆปรากฏอยู่สองรูเคียงกันตรงที่เป็นนัยน์ตาทั้งสอง ซึ่งเบิกโพลงเพ่งไปข้างหน้าอย่างไม่มีจุดมุ่งหมาย ณ แดนอันไม่ห่างจากป่าที่จยวนะบำเพ็ญพรตเท่าใดนัก เป็นที่ตั้งของนครใหญ่แห่งหนึ่งซึ่งมีพระราชาศรรยาติ โอรสของพระมนูไววัสวัตเป็นผู้ปกครอง วันหนึ่ง พระราชาพาขบวนลูกหลานไปเที่นวหาความสำราญในป่าและลำธารอันมีน้ำใสปานแก้วไหลหลั่งอยู่ชั่วนาตาปี บรรดาราชกุมารทั้งหลายต่างก็แยกย้ายกันไปเที่ยวถ้ำเที่ยวเขาเป็นที่สำราญใจ ส่วนนางสุกันยา ซึ่งเป็นราชธิดาองค์เดียวของท้าวศรรยาติ พร้อมด้วยเพื่อนหญิงอีกสามคน ปลีกตัวไปเที่ยวเก็บดอกไม้นานาพรรณ และเดินลึกเข้าไปในป่าทุกที ในที่สุดก็มาถึงจอมปลวกอันก่อหุ้มร่างฤษีจยวนะโดยรอบ สุกันยามองดูจอมปลวกนั้นด้วยความพินิจพิเคราะห์ แลเห็นมีรูอยู่สองรูลึกเข้าไป และเมื่อก้มลงมองเข้าไป ก็แลเห็นเป็นดวงแก้วสองดวงเปล่งประกายระยิบระยับราวกับรัศมีดาว “อะไรกันนี่” นางพึมพำด้วยความสนเท่ห์ “ดูคล้ายๆดวงมณีสองดวงเปล่งแสงเรืองอยู่ในที่มืด หรือจะเป็นดวงตาพญางูก็ไม่รู้” “ลองเอาไม้แหย่ดูเป็นไร เดี๋ยวก็รู้เอง” สหายชื่อจันทรนิภาแนะนำ พลางส่งท่อนไม้ปลายแหลมซึ่งตกหล่นอยู่แถวนั้นให้ สุกันยารับเอาท่อนไม้มาถือไว้ เกิดความลังเลกึ่งกลัวกึ่งกล้า ในที่สุดตัดสินใจเสือกไม้นั้นเข้าไปในโพรงข้างหนึ่งแล้วดึงกลับมาเสียบอีกข้างหนึ่ง มีเสียงคนร้องออกมาอย่างสุดเสียงแสดงความเจ็บปวดแสนสาหัส “โอ๊ย โอ๊ย” สุกันยาและสหายตกตะลึงพรึงเพริด พอได้สติต่างคนต่างรีบวิ่งหนีอลหม่านและเมื่อมาสมทบขบวนของพระบิดาแล้วก็เร่งรีบกลับพระนครโดยไม่ปริปากเอ่ยถึงสิ่งที่ตนไปเห็นไปทำมา ในใจของนางมีแต่ความสงสัยไม่รู้หายว่าข้างในจอมปลวกนั้นมีอะไร และทำไมจอมปลวกจึงร้องได้ ฝ่ายพระจยวนะมุนี หลังจากสุกันยาและสหายกลับไปแล้วก็ลุกขึ้นสะบัดเหวี่ยงแขนขาเต็มแรง ทำให้ดินจอมปลวกถล่มทลายลงและก้าวออกมา มีร่างกายอันสกปรกขะมุกขะมอมและเรือนร่างที่ผอมแห้งเหี่ยวย่นน่าเกลียดน่ากลังเหมือนสัตว์ประหลาด พระฤษีผู้ถูกแทงนัยน์ตาจนบอดสนิททั้งสองข้าง ค่อยคืบคลานไปบนพื้นดินอย่างไร่รู้เหนือรู้ใต้และล้มลงนอนพังพาบข้างลำธาร สลบแน่นิ่งไม่ไหวติง เหมือนร่างสัตว์ตายซากที่ถูกทอดทิ้งอยู่บนพื้นดินแต่เดียวดาย ไร้ผู้สนใจนำพา
ผลกรรมที่สุกันยากระทำต่อพระฤษีจยวนะเริ่มสำแดงในเวลาต่อมา กล่าวคือ บังเกิดฝนแล้งทั่วไปในแว่นแคว้นของพระเจ้าศรรยาติ พืชผลในไร่นาเสียหายยับเยิน ประชาชนพากันอดอยากยากแค้นแสนสาหัส ไฟไหม้พระนครหลายครั้งหลายหน และฝูงสัตว์ก็ล้มตายราวกับใบไม้ร่วง พระราชาศรรยาติทรงเศร้าพระทัยและเป็นทุกข์ยิ่งนัก สั่งให้พราหมณ์ปุโรหิตทำพิธีสังเวยเทวดา และขอทราบสาเหตุแห่งภัยพิบัติครั้งนี้ ปุโรหิตกระทำพิธีแล้วได้ทราบจาดทวยเทพว่า เหตุร้ายบังเกิดมีในแนดินเพราะพระราชธิดา เป็นผู้ก่อขี้นโดยรู้เท่าไม่ถึงการณ์ กระทำหยาบช้าต่อพระฤษีผู้หาความผิดมิได้ พระราชาทรงทราบก็กริ้วยิ่งนัก ตรัสเรียกเจ้าหญิงสุกันยามาไต่ถาม สุกันยาก็สารภาพว่ากระทำผิดจริง เพราะไม่ทราบว่าฤษีอยู่ในจอมปลวกและนางรู้สำนึกในกรรมนั้นแล้วขอยอมรับโทษทัณฑ์จากฤษีแต่ผู้เดียว พระราชานำนางสุกันยาออกไปหาฤษีจยวนะในป่า กล่าวคำขอโทษและถามฤษีว่า จะให้ตนใช้หนี้ความทุกข์นี้อย่างไร พระจยวนะฟังแล้วก็ตอบว่า “ดูก่อนอารยบุตร ข้าจะถือโทษโกรธท่านได้ไฉน ข้าไม่ผูกพยาบาทจองเวรแก่ผู้ใดหรอก อย่างไรก็ดีถึงข้าจะไม่ถือโทษ แต่ผลกรรมที่ลูกหลานท่านกระทำก็ยังคงอยู่ถ้าจะชดใช้กรรมนั้นให้สิ้นสุดลงก็จะต้องเสียสละอย่างใหญ่หลวง จงส่งพระธิดาสุกันยามาเป็นชายาของข้า นางจะได้ทำหน้าที่ปรนนิบัติข้าเป็นการแก้บาปกรรมที่นางก่อไว้ ถ้าท่านเต็มใจก็จงกระทำอย่าชักช้า แต่ถ้าไม่เต็มใจเราก็ไม่ว่าอะไร” พระราชาทอดพระเนตรดูร่างของฤษีจยวนะด้วยความรู้สึกขยะแขยงและอึดอัดพระทัย ไม่อาจตรัสข้อความอะไรได้ สุกันยาจึงเข้าไปกราบแทบเบื้องบาทของพระบิดาและกล่าววาจาอันหนักแน่นและจริงใจว่า “ข้าแต่พระบิดา อย่าลังเลพระทัยต่อไปเลย โปรดยกหม่อมฉันให้แก่พระมุนีเถิด หม่อมฉันยินดีปฏิบัติตามเงื่อนไขของพระมุนีทุกประการ” “สุกันยาลูกรักเจ้าจะทนสภาพอันขมขื่นนี้ได้อย่างไร” ท้าวศรรยาติคร่ำครวญ “ได้สิเพคะ ลูกเป็นผู้ก่อกรรมอันน่าอนาถนี้ขึ้น ทำให้พระมุนีต้องตาบอด ลูกจะต้องปรนนิบัติดูแลพระมุนีตลอดไปเป็นการไถ่บาป ลูกมีความเต็มใจในการกระทำครั้งนี้ไม่มีความรังเกียจเลย พระบิดาได้โปรดประทานอนุญาตเถิด” พระราชาจำพระทัยยกพระราชบุตรีให้แก่จยวนะมุนีตามเงื่อนไข ทรงเศร้าเสียพระทัยนัก เสด็จจากไปทันที โดยไม่เหลียวกลับมาดูอีก สุกันยาได้แต่งงานกับพระมุนีเฒ่า และปลูกอาศรมอยู่ด้วยกันในป่าแห่งนั้น นางเฝ้าปรนนิบัติสามีชราด้วยความเอาใจใส่ดูแลเป็นอย่างดี มีความซื่อสัตย์จงรักภักดีต่อสามีอย่างแน่นแฟ้น ทุกๆวัน นางเฝ้าดูแลสามีด้วยความห่วงใย ตระเตรียมอาหารเช้าเย็น และปัดกวาดอาศรมให้สะอาดเรียบร้อย เมื่อสามีกินอาหารแล้ว นางก็กินเศษอาหารที่เหลือ เวลานอนก็นอนที่ปลายเท้าของสามี และตื่นก่อนสามีทุกกครั้งเพื่อทำหน้าที่ประจำวันของนางโดยไม่มีข้อบกพร่อง ถึงแม้ต้องตรากตรำงาน นางก็ไม่เคยปริปากบ่นคงมั่นในความจงรักต่อสามีมิรู้วันเสื่อมคลาย วันหนึ่งสุกันยาออกไปตักน้ำที่ลำธาร ขณะที่แบกหม้อน้ำเดินกลับอาศรม ก็เผอิญพบกับพระอัศวิน เทพฝาแฝดรูปงาม ซึ่งกำลังแสวงหาสมุนไพรอยู่ในป่านั้น พระอัศวินผู้พี่มีนามว่า นาสัตยะ และฝาแฝดผู้น้องชื่อ ทัศระ แลเห็นสุกันยาผู้มีรูปลักษณ์อันงามเลิศเดินมาก็มีใจชื่นชมและเกิดความเสน่หาในตัวนาง จึงกล่าวทักทาย “กุลธิดา เธอเป็นใครจึงมาเดินอยู่ในป่านี้ เราไม่เคยเห็นเธอมาก่อนเลย” สุกันยาแลเห็นเทพอัศวินผู้มีใบหน้าและรูปร่างเหมือนกันรางกับหล่อหลอมมาจากแม่พิมพ์เดียวกันก็รู้ได้ทันทีว่านี่คือพระอัศวินเทพฝาแฝดโอรสของฟ้าและดิน นางรีบทรุดตัวลงกระทำอัญชลี ตอบว่า “ข้าแต่เทวะ ข้าพระบาทชื่อสุกันยา เป็นภรรยาของพระฤษีจยวนะ ขอถวายความคารวะแทบพระบาท” “นี่แน่ สุกันยาโฉมงาม เจ้าทำให้ข้าประหลาดใจนัก” พระนาสัตยะพึมพำ “บอกหน่อยเถิดว่า เจ้าเห็นควรอันใดจึงยอมเป็นชายาของฤษีเฒ่าอย่างจยวนะ เจ้าไม่เห็นหรือว่าจยวนะนั้นแสนจะจะแก่ชรา และรูปร่างหน้าตาแสนที่จะอัปลักษณ์ เพียงแค่มองเห็นก็หมดความรู้สึกเป็นสุขลงทันที เจ้าทนอยู่ได้อย่างไร เจ้าจงพิจารณาดูเถิด ว่าในระหว่างเราทั้งสองนี้คือทัศระกับตัวข้า เจ้าเห็นสมควรเลือกใครเป็นสามีก็จงบอกมาเถิด เราจะรับเจ้าไปเป็นชายา และจะทำให้เจ้าเป็นเทวีมีความเป็นอมตะชั่วนิรันดร” “โอ้ พระนาสัตยะ เหตุไฉนพระองค์จึงตรัสอังนี้ ข้าพระบาทไม่ต้องการได้ยินเลย” สุกันยากล่าวปราม “ข้าพระบาทเป็นหญิงที่มีสามีแล้ว ย่อมจะต้องซื่อสัตย์จงรักต่อสามีของตัวแต่ผู้เดียว จะเอาใจไปเผื่อแผ่ชายอื่นได้ไฉน แม้เพียงแต่คิดถึงก็ผิดทางใจเสียแล้ว ป่วยการจะกล่าวไปไยถึงคำพูดและการกระทำ ข้าพระบาทไม่ขอได้ยินเรื่องนี้อีก ขออย่าตรัสอีกเลย” “สุกันยาโฉมงาม” พระทัศระผู้เป็นพระอัศวินองค์น้องกล่าวขึ้นบ้าง “เจ้าเป็นหญิงผู้ทรงคุณธรรมอันประเสริฐเป็นปดิวรัดา (๑) เราขอสรรเสริญเจ้า อย่างไรก็ดี แม้เจ้าจะไม่ยอมรับรักเราในบัดนี้ เราก็จะไม่ขืนใจเจ้าดอก แต่เราอยากจะช่วยเหลือเจ้าเพราะนอกจากเราทั้งสองแล้ว เทพและฤษีตนใดก็ช่วยเหลือเจ้าไม่ได้ เจ้าไม่รู้หรือว่าเราเป็นแพทย์สวรรค์ มีความรู้ในวิชาแพทย์หาผู้เสมอเหมือนมิได้ เราท่องเที่ยวไปในสากลโลกเพื่อรักษาคนป่วยเจ็บและพิการมาแล้วมากมายนับไม่ถ้วน เราอาจจะรักษาสามีของเจ้าให้หายจากความพิกลพิการ และรักษานัยน์ตาที่บอดให้กลับคืนดีได้ เจ้าไม่ต้องการให้เราช่วยเหลือดอกหรือจงคิดให้ดี จงกลับไปปรึกษาสามีของเจ้าเถิดว่า ถ้าเราจะรักษาเขาให้หายตาบอดและกลับคืนเป็นหนุ่มชั่วนิรันดร เขาจะยินยอมหรือไม่ เราเชื่อว่าเขาต้องยินดีแน่นอน แต่เราจะรับรักษาให้ก็ต่อเมื่อเขาและเจ้ายอมรับเงื่อนไขของเรา” “เงื่อนไขอะไรพระเจ้าข้า” “ง่ายนิดเดียว” พระอัศวินกล่าวยิ้มๆ “เพียงแต่เมื่อเรารักษาจยวนะมุนีเป็นปกติแล้วเขาจะเป็นหนุ่มรูปงามมีรูปลักษณ์เหมือนเราทุกประการ เมื่อถึงตอนนั้นเจ้าก็จะต้องตัดสินใจเลือกเอาว่า ในบุรุษที่เหมือนกันทุกอย่างราวกับแกะทั้งสามคนนี้เจ้าจะเลือกใคร เจ้าอาจจะเลือกได้จยวนะ หรือเลือกได้เราคนใดคนหนึ่งก็ได้ ข้อเสนอของเรายุติธรรมดีแล้วไม่ใช่หรือ จงกลีบไปเถิด พรุ่งนี้เราจะพบกันอีก ณ สถานที่นี้ จงจำไว้ให้ดี” กล่าวจบพระอัศวินเทพบุตรก็อันตรธานไปจากที่นั้น สุกันยารีบกลับมายังอาศรม นำข่าวสำคัญมาแจ้งแก่จยวนะมุนี พระมุนีฟังแล้วก็นิ่งอึ้งไปครู่หนึ่ง ในที่สุดก็ตกลงใจ "สุกันยาเอ๋ย เราทราบดีว่าเจ้ารักและภักดีต่อเราโดยสุจริต เราก็นึกสรรเสริญเจ้าตลอดมา บัดนี้ถึงคราวที่เราจะต้องตัดสินปัญหาเฉพาะหน้าอันมีความสำคัญยิ่งยวด เราก็ต้องยอมเสี่ยง ผลจะเป็นฉันใดก็สุดแต่กรรมจะบันดาล เราขอให้เจ้าตกลงรับเงื่อนไขของเทพฝาแฝดทั้งสอง พรุ่งนี้เราจะไปกับเจ้า และยอมให้พระอัศวินรักษาเรา” “แต่ถ้าข้าพเจ้าเลือกคนผิด…..” นางอึกอัก “จะทำอย่างไร” “คงไม่ผิดหรอก เราเชื่อและหวังในสติปัญญาของเจ้า” จยวนะกล่าวปลอบ “เราอาจจะแนะนำเจ้าได้นิดหน่อย เจ้าจงฟังให้ดี เมื่อเจ้าถึงคราวอับจนปัญญาจงนึกถึงพระเทวีเป็นที่พึ่ง เจ้าจงรำลึกถึงพระอุมาไหมวตีให้มั่นคง พระแม่เจ้าจะไม่ทอดทิ้งเจ้าแน่นอน” เช้าวันรุ่งขึ้น สุกันยาและฤษีจยวนะออกเดินทางไปพบพระอัศวินในป่าลึกตามที่สัญญากัน เมื่อพบกันแล้ว พระอัศวินก็พาจยวนะมุนีและสุกันยาไปยังสระน้ำศักดิ์สิทธิ์ อันมีบัวเบญจพรรณบานสะพรั่ง เมื่อไปถึงขอบสระ พระอัศวินก็หยุดยืนร่ายพระเวทครู่หนึ่ง เสร็จแล้วจับแขนจยวนะพากระโดดลงไปในสระน้ำ จมหายไปครู่หนึ่งก็โผล่ขึ้นมาจากน้ำ ทั้งสามคนมีรูปลักษณ์เหมือนพระอัศวินทุกอย่าง เดินตรงเข้ามาหาสุกันยาซึ่งยืนตะลึงพรึงเพริด ณ ที่นั้น
นางมองดูบุรุษทั้งสามผู้ทรงโฉมสิริโสภาคย์ หาชายใดในพื้นพิภพเทียบมิได้ มีความว้าวุ่นใจยิ่งนัก เพราะมิรู้ที่จะตัดสินใจเลือกผู้หนึ่งผู้ใด นางลังเลอยู่ครู่ใหญ่ในที่สุดรำลึกถึงถ้อยคำของสามีขึ้นมาได้ก็สว่างหัวอก รีบยกมือพนมเหนือเศียรเกล้า กระทำความเคารพต่อองค์พระมหาเทวีปารวตี และอธิษฐานขอความอนุเคราะห์ “ข้าแต่พระโลกมาตาผู้ทรงศักดิ์ ข้าพระบาทจนแก่สติปัญญาไม่อาจจะเลือกผู้ใดได้ถูกต้องในครั้งนี้ บุรุษใดคือพระจยวนะมุนี สามีของข้าพระบาท ขอให้ข้าพระบาทได้ประจักษ์เถิด” ทันใดก็มีเสียงทิพย์แผ่วเบากระซิบที่หูของนางให้ได้ยินโดยเฉพาะว่า “สุกันยาเอ๋ยจงพินิจพิจารณาให้ดี สิ่งใดที่เกิดขึ้นต่อสายตาของเจ้า เจ้าจงติดตามพิจารณาหาเหตุผลเอาเถิด เราบอกเจ้าได้แค่นี้” สิ้นเสียงทิพย์ของพระเทวี สุกันยาแลไปเบื้องหน้า ก็แลเห็นแมลงภู่สีทองตัวหนึ่งบินวู่ฉวัดเฉวียนโดยรอบรูปเทวะทั้งสาม แล้วไปหยุดเกาะอยู่ที่อุระของเทวะองค์เบื้องซ้ายของนาง นางรำลึกถึงคำตรัสของพระเทวีก็มั่นใจไม่มีข้อสงสัย ตรงเข้าไปฉุดแขนผู้นั้นดึงออกมาจากหมู่ บุรุษผู้นั้นก็กลายร่างเป็นฤษีจยวนะหนุ่มรูปงาม ทรงเครื่องนุ่งห่มของฤษีชีปะขาว สวมสร้อยประคำและสายยัชโญปวีตเฉวียงบ่า เป็นที่ภาคภูมิน่าเคารพเลื่อมใส ถัดไปเบื้องหลังคือพระอัศวินทั้งสองยืนยิ้มด้วยความยินดีในความสำเร็จของพระมุนีและนางผู้เป็นภรรยาอันทรงคุณธรรมเลิศ ขณะนั้นเองพระพรหมผู้เป็นเจ้าก็ปรากฏพระองค์ขึ้นต่อหน้าบุคคลทั้งสี่ พระปิตามหะทรงประทานไม้เท้าพรหมทัณฑ์อันศักดิ์สิทธิ์แก่ฤษีจยวนะและตรัสว่า “ดูก่อนจยวนะ หลานของข้า ข้ามาหาเจ้าครั้งนี้ก็เพื่อประกาศให้รู้ว่า ข้าได้แจ้งในประพฤติกรรมของเจ้าเป็นอย่างดี ข้าซาบซึ้งในการบำเพ็ญตบะกรรมของเจ้าที่กระทำมาแล้วกว่าสองพันปี เป็นผลบุญอันบริสุทธิ์ผุดผ่องไร้ยองใย แสดงถึงความเพียรอันอุกฤตของเจ้า และการที่เจ้ามีความอดทน มีการให้อภัยแก่ผู้ที่ทำร้ายเจ้าถึงตาบอด ไม่โกรธเคืองและไม่คิดจองเวรแต่ประการใด เจ้าสมควรได้รับการยกย่องให้ปรากฏในสามโลก ข้าขอตั้งให้เจ้าเป็นพรหมฤษีมีตำแหน่งเป็นสมาชิกในเทวสภาตลอดไป และไม้เท้าพรหมทัณฑ์ที่ข้ามอบให้นี้ จะทำให้เจ้าเป็นผู้มีฤทธานุภาพอันบุคคลใดไม่สามารถจะต่อต้านได้เลย” พระจตุรพักตร์ทรงกวักพระหัตถ์เรียกพระอัศวินเข้ามาใกล้ ตรัสด้วยความเมตตาว่า “ดูก่อนพระอัศวิน ท่านก็ได้ชื่อว่าเป็นเทพผู้ประพฤติดีปฏิบัติดีมาช้านาน ได้รักษาผู้ป่วยเจ็บและพิการให้หายจากโรคภัยไข้เจ็บและความเดือดร้อนมามากมาย ควรได้รับการยกย่องสรรเสริญแต่กลับได้รับการดูถูกดูหมิ่น เพราะพระอินทร์จอมเทพได้ประกาศแก่สังคมเทพให้ทราบโดยทั่วกันว่า ท่านเป็นวรรณะศูทร เป็นเทพชั้นต่ำสุดทั้งๆที่ความจริงท่านเป็นเทพชั้นสูงสุด เพราะเป็นโอรสของฟ้าและดิน ท้าววัชรินทร์ยังได้ทำรุนแรงกว่านั้น ท่านคงยังไม่ทราบว่าเดี๋ยวนี้พระอินทร์ได้มีบัญชาให้พราหมณ์ปุโรหิตรับทราบโดยทั่วกันว่า มิให้ถวายน้ำโสมแก่ท่าน ไม่ว่าจะในการทำยัชญพิธีใด การที่ท่านถูกกีดกันจากโสมบาน (การดื่มน้ำโสม) นอกจากจะเป็นการหลู่เกียรติกันอย่างร้ายแรงแล้ว ยังทำให้พลังของท่านเสื่อมถอยอีกด้วย เทพที่ไม่ได้ดื่มน้ำโสมก็เหมือนคนที่ขาดอาหาร ท่านจงพิจารณาดูฐานะของท่านเถิด จะแก้ไขอย่างไรก็จงปรึกษาจยวนะพรหมฤษีดู เราเตือนท่านได้เท่านี้” ตรัสจบพระครรไลหงส์ ก็เสด็จขึ้นประทับหลังพญาหงส์ทองเทพพาหนะ เป็นโพยมยานนาวาร่อนลอยลับไปในท้องฟ้า เมื่อพระธาดาธิบดีเสด็จไปแล้ว พระจยวนะมหามุนีก็เข้ามาใกล้พระอัศวิน และกระทำคารวะกล่าวคำของคุณที่เทพฝาแฝดได้ทำการรักษาตนให้หายจากตาบอด และมีร่างอันเป็นหนุ่มกระชุ่มกระชวยชั่วนิรันดร “ข้าแต่พระไภษัชยเทพผู้เรืองวิชา ข้าพเจ้าจะขอรับภาระช่วยเหลือท่านให้ได้กลับคืนสู่สังคมเทพ และมีสิทธิในการรับสังเวยน้ำโสมดังเดิม ท่านจงอดใจรอก่อนเถิด ในเวลาไม่ช้า ท่านจะได้สิทธิของท่านกลับคืน เราให้สัญญา” เวลาล่วงไปเดือนหนึ่ง ถึงวันฤกษ์ดี พระจยวนะมหามุนีก็จัดการทำพิธีใหญ่เรียกว่า โสมยาค อันเป็นพิธีถวายน้ำโสมเป็นเครื่องสังเวยแก่ทวยเทพทั้งหลาย มีพระอินทร์เป็นประธาน บรรดาวิศเวเทวาต่างได้รับเชิญมาในพิธีโดยทั่วหน้ารวมทั้งพระอศวินซึ่งถูกกีดกันโดยตรงอีกด้วย เมื่อพระอินทร์เสด็จมาสู่ยัชญพิธี แลเห็นพระอัศวินได้รับเชิญมานั่งในโรงพิธีด้วยก็โกรธ กล่าวคำขับไล่พระอัศวินให้ออกไป พระจยวนะพรหมฤษีจึงไกล่เกลี่ยขอให้คืนดีกัน แต่พรอินทร์ไม่ยอม กล่าวว่า ”ดูก่อนจยวนะมุนี ท่านทำตามอำเภอใจ เชื้อเชิญเทพชั้นต่ำอย่างพระอัศวินมารับน้ำโสมเป็นเครื่องสังเวย โดยเมินเฉยต่อประกาศิตแห่งเรา เราไม่อาจจะคบท่านได้อีกต่อไป พิธีนี้เป็นอันล้มเลิก เราและเทวะทั้งปวงจะไปเสียจากที่นี้ และท่านจะทำพิธีใดๆในอนาคตกาล ท่านก็จงอย่าได้เชิญเราและทวยเทพมาอีก ท่านเป็นผู้ที่ทวยเทพได้ปฏิเสธเสียแล้ว จะทำพิธีอีกกี่ครั้งก็ย่อมเป็นหมันเสียเปล่า จงอย่าพยายามกระทำอีกเลย” ฤษีจยวนะได้ฟังพระอินทร์กล่าววาจาดูหมิ่นก็โกรธ ตอบสวนไปทันควันว่า “เราก็ไม่ง้อท่าน ตัวท่านออกจะเหิมเกริมเกินไปเสียแล้ว เราให้เกียรติเชิญท่านมาในมหาพิธี ท่านกลับไร้มารยาทกล่าววาจาจ้วงจาบหยาบช้าต่อเรา ดูหมิ่นยัชญพิธีของเรา ราวกับเราเป็นผู้ที่หาความสำคัญมิได้ ดีละ เมื่อท่านถือดีต่อเรา เราก็จะสร้างฟ้า สร้างสวรรค์ขึ้นใหม่ เทวดาทั้งปวงผู้เป็นบริวารของท่านก็เช่นเดียวกัน เมื่อเราสร้างสวรรค์ขึ้นใหม่ได้ไฉนเราจะสร้างเทวดาชุดใหม่ขึ้นไม่ได้ จะดูทีหรือว่าใครจะบังอาจขัดขวางเรา” พระอินทร์ได้ฟังฤษีจยวนะกล่าวท้าทายก็ยิ่งพิโรธหนัก การต่อปากต่อคำเป็นไปอย่างรุนแรงถึงขั้นใช้กำลังเข้าสัประยุทธ์กัน พระอินทร์คว้าได้ภูเขามันทรถือไว้ในมือซ้าย มือขวาถือวัชรายุธ(๒) อันเป็นอาวุธร้ายกาจปราดเข้ามาหมายจะทุ่มทิ้ง และฟาดฟันฤษีจยวนะให้แหลกลาญเป็นผุยผง แต่ยังมิทันเข้าถึง พระมหามุนีก็ยกไม้เท้าพรหมทัณฑ์อันศักดิ์สิทธิ์ขึ้นชี้ไปที่จอมเทพ ยังผลให้ท้าววัชรินทร์หยุดชะงัก แขนขากลายเป็นอัมพาตกระดิกกระเดี้ยไม่ได้ในบัดดล ภูเขาและวัชระก็ร่วงลงจากหัตถ์แต่นัยน์ตาของท้าวเธอยังจ้องเขม็งที่ศัตรูอย่างแข็งกร้าวและอาฆาตมาดร้าย พระจยวนะพรหมฤษีเมื่อหยุดท้าววัชรรินทร์ได้แล้วก็สำรวมใจร่ายมนตร์ฟาดไม้เท่าพรหมทัณฑ์ไปข้างหน้า บังเกิดอสูรร่างใหญ่มหึมาชื่อ มทาสูร อ้าปากกว้างเท่าจักรวาล และแลบลิ้นเป็นไฟลุกโพลงน่าสยดสยอง มหาสูรอ้าปากใกล้เข้ามาเตรียมที่จะเคี้ยวกินทวยเทพเป็นภักษาหาร ทำให้ฝูงเทพตกใจแตกตื่นไปทุกทิศทุกทาง เหลือแต่พระอินทร์ผู้เดียวที่ไม่อาจจะหนีไปได้ เพราะเท้าทั้งสองถูกตรึงติดแน่นกับแผ่นดิน เมื่อมหาสูรคืบใกล้เข้ามา พระอินทร์ก็ยิ่งตกใจตาเหลือกลานแลเห็นความตายมาอยู่เฉพาะหน้า ร้องตะโกนขอความช่วยเหลือ แต่ไม่มีเทพใดๆเข้ามาช่วยเพราะต่างก็หนีเอาตัวรอดไปหมดแล้ว สิ้นปัญญา พระอินทร์ก็ละล่ำละลักกล่าวคำขอโทษต่อพระจยวนะขอให้ช่วยชีวิต พระพรหมฤษีจึงสำทับว่า “นี่แน่ อมรินทร์ ท่านนี้ช่างเย่อหยิ่งโอหังยิ่งนัก เราขอร้องท่าน ท่านก็ไม่ฟังเรา กลับกล่าววาจาดูหมิ่นเราด้วยประการต่างๆมิหนำซ้ำยังคิดจะฆ่าเราเสียอีก เราไม่ถือโทษท่านหรอก เพราะรู้ว่าท่านนั้นดีแต่ปาก แต่จะเก่งจริงนั้นหาไม่ เราจะยกโทษให้ท่านสักครั้ง แต่ท่านจะต้องยอมตามข้อเสนอของเราก่อน” “ท่านจะให้เราทำอะไร” “ท่านต้องทำลายประกาศิตเดิมเสีย และให้ปฏิญญาว่า ท่านจะยกย่องพระอัศวินให้สมเกียรติ อนุญาตให้พระองค์ได้มีสิทธิ์ในการรับสังเวยน้ำโสมเหมือนเทพทั้งหลายทั่วไปในทุกพิธี และทุกกรณีนับแต่นี้เป็นต้นไป” “เราให้สัญญา” พระอินทร์กล่าวยืนยัน “ตั้งแต่นี้เป็นต้นไป พระอัศวินจะได้กลับคืนสู่สังคมทวยเทพอีก และจะได้รับเชิญให้รับการสังเวยน้ำโสมทุกครั้งตลอดไป” เมื่อท้าวศักรินทร์ยอมตามข้อเสนอเป็นที่เรียบร้อยดังนี้ การพิพาทระหว่างจอมเทพกับพระจยวนะมหาฤษีก็เป็นอันสิ้นสุดลง พระจยวนะพรหมฤษีร่ายพระเวททำลายมทาสูรเป็น สี่ชิ้นด้วยกัน แล้วสาปให้ ชิ้นหนึ่งกลายเป็นลูกสกา ชิ้นหนึ่งเป็นการล่าสัตว์ ชิ้นหนึ่งเป็นสุรา และ ชิ้นหนึ่งเป็นคณาหญิงมากมาย ทั้งสี่อย่างนี้เป็นสัญลักษณ์ความชั่ว ความมึนเมาหลงใหล ซึ่งเป็นทางแห่งความเสื่อมของมนุษย์ในกาลต่อมา พระจยวนมหรรษีอำลาพระอัศวินกลับคืนสู่วนาศรม มีชีวิตสุขเกษมด้วยนางสุกันยา ราชกุมารีผู้เป็นปดิวรัดาสืบมาช้านานหลายพันปี ทั้งสองมีบุตรด้วยกันคนหนึ่ง คือ ฤษีประมติ และ ประมตินั้นเป็นบิดาของ ฤษีรุรุ ผู้มีประวัติอันพิสดาร (๒) วัชรายุธ หรืออีกนามหนึ่งว่า วชิราวุธ แปลว่า อาวุธ คือสายฟ้า มีลักษณะเป็นง่ามทั้งสี่ทิศ มีด้ามเป็นปล้องๆรวม ๙๙ ปล้อง ทำจากกระดูกสันหลังของ ฤษีทธยัญจะ จากหนังสือ หริศจันทร์ รวบรวมและเขียนโดอย อ. ศักดิ์ศรี แย้มนัดดา พิมพ์ครังแรก พ.ย ๒๕๓๓

ไม่มีความคิดเห็น: