02 สิงหาคม 2551

พระสตี

พระสตี พระทักษะพรหมฤษีประชาบดี เป็นโอรสของพระพรหม และเป็นผู้ที่ได้ชื่ว่าเป็นผู้สร้างสรรค์สิ่งมีชีวิตให้เกิดขึ้นมากมาย เพราะพระทักษะมีธิดาถึงแปดสิบสี่นาง ซึ่งได้ตกเป็นภรรยาของพระกัศยปมุนี พระจันทร์ พระยม พระอังคีรส พระอริษฏเนมิมุนี พระพาหุบุตร พระกฤศาสวะ และอื่นๆ นางธิดาทั้งหลายเหล่านี้ต่อมาได้ให้กำเนิดแก่ทวยเทพหลายหมู่เหล่า อสูร นาค ครุฑ นก คนธรรพ์ กินนร ฯลฯ ฉะนั้นพระทักษะมหามุนีจึงมีฐานะเป็นพระผู้สร้างอย่างแท้จริง ยิ่งกว่าพระพรหมผู้สร้างโลกเสียอีก ในจำนวนธิดาทั้งแปดสิบสี่นางของพระทักษะนั้น พระสตีเป็นธิดาองค์ใหญ่ และมีรูปโฉมงดงามที่สุด บรรดาทวยเทพและฤษีทั้งหลายต่างมุ่งหมายปองนางด้วยกัน แต่พระสตีมิได้แยแสต่อชายใด นางมีความรักแน่วแน่อยู่แต่พระศิวะเพียงผู้เดียว และพระมหาเทพก็ทรงมีความรักต่อนางอย่างลึกซึ้งเช่นกัน ฉะนั้นเมื่อพระสตีได้มีโอกาสทำพิธีสยุมพร นางจึงเลือกพระศิวะเป็นสามีโดยมิฟังคำทัดทานจากพระทักษะผู้เป็นบิดา การที่พระทักษะทักท้วงก็เพราะมีความเกลียดชังพระศิวะเป็นส่วนตัวมาก่อนจึงไม่ต้องการได้พระศิวะเป็นลูกเขย และแสดงความไม่พอใจให้เป็นที่ปรากฏเนืองๆแก่ผู้พบเห็น เหตุที่พระทักษะเคียดแค้นพระศิวะอย่างมากมายก็ด้วยสองกรณีด้วยกันคือ กรณีที่หนึ่ง พระศิวะมิได้ให้เกียรติแก่ตน เรื่องมีว่า ครั้งหนึ่งพระประชาบดีทั้งหลายได้ร่วมใจกันทำมหายัชญพิธีถวายแก่พระพรหม ในการทำพิธีใหญ่นี้ พระทักษะซึ่งเป็นพระประชาบดีองค์หนึ่งได้รับเกียรติให้เป็นประธานในพิธี เมื่อพระทักษะมหามุนีเดินเข้ามาในที่ประชุม บรรดาฤษีและทวยเทพทั้งหลายในที่ประชุมต่างก็ลุกขึ้นยืนพร้อมกันเป็นการคารวะพระทักษะ มีเพียงพระศิวะเป็นเจ้าเพียงพระองค์เดียวมิได้ลุกขึ้นยืน คงประทับนิ่งบนอาสนะเฉยอยู่ราวกับว่าไม่แลเห็นพระทักษะมีตัวตนอยู่ ณ ที่นั้น พระมหามุนีโกรธจนตัวสั่น เพ่งสายตาถมึงทึงต่อพระศิวะด้วยความเคียดแค้น แต่พระตรีศุลีก็ทำเป็นไม่แยแส ความโกรธของพระทักษะครั้งนั้นฝังใจจนกลายเป็นความพยาบาทมิรู้ลืม อีกครั้งหนึ่ง พระฤษีทุรวาส บำเพ็ญตบะอย่างแรงกล้าเป็นที่พอพระทัยของพระพรหมธาดายิ่งนัก พระองค์จึงประทานพวงมาลัยดอกไม้ทิพย์อันบริสุทธิ์ ให้แก่พระทุรวาสมุนีเป็นของขวัญ พระฤษีทุรวาสเอาพวงมาลัยคล้องคอเหาะลอยไปด้วยทิพยานุภาพแห่งมาลัยนั้น ผ่านไปถึงสำนักของพระทักษะ พระทักษะแลเห็นก็มีความอยากได้ จึงเอ่ยปากขอพวงมาลัยต่อพระทุรวาส พระมหาฤษีก็ยอมยกให้แต่โดยดี พระทักษะจึงนำทิพยมาลัยไปแขวนไว้เหนือเตียงนอนของตน กลิ่นอันหอมหวนยวนใจของดอกไม้สวรรค์ทำให้พระทักษะเคลิบเคลิ้มเกิดอารมณ์กำหนัดในกามคุณ คิดฟุ้งซ่านไปต่างๆ ความคิดอันเป็นโทษเช่นนี้เป็นผลให้มาลัยเหี่ยวแห้งไปทันที เมื่อเรื่องนี้ทราบไปถึงพระศิวะ พระมหาเทพทรงตำหนิติเตียนเป็นอันมาก พระทักษะมุนีได้รับความอับอายก็โกรธแค้นพระมหาเทพเป็นทวีคูณ ความแค้นทั้งสองกรณีดังกล่าว ทำให้พระทักษะไม่มีวันจะยกโทษให้แก่พระศิวะและผูกพยาบาทเรื่อยมา ดังนั้น เมื่อธิดาคนโตคือพระสตีไปหลงรักพระศิวะและเลือกมาเป็นสามี ยิ่งทำให้พระทักษะแค้นขึ้นไปอีก ถึงกับประกาศตัดเป็นตัดตาย ขาดจากความเป็นพ่อลูกกัน พระทักษะพยายามหาวิธีที่จะล้างแค้นให้สาสม ในที่สุดก็เห็นวิธีการอย่างหนึ่งที่แยบคายกว่าวิธีอื่น เมื่อตกลงใจดังนี้พระทักษะก็ประกาศแก่ทวยเทพและฤษีทั้งปวงว่า ตนจะทำพิธีใหญ่ที่สุดซึ่งไม่เคยมีใครทำมาก่อน มหายัชญพิธีนั้นมีชื่อว่า พิธีพฤหัสปติสวนะ เป็นพิธีศักดิ์สิทธิ์และให้ผลบุญยิ่งใหญ่ไพศาลแก่ทุกผู้ที่ได้รับเชิญมา ซึ่งนับว่ามีเกียรติอันสูงส่งยิ่ง พระทักษะได้ส่งคำเชิญไปยังเทพผู้เป็นใหญ่ทั้งหลาย อาทิ พระยม พระอัคนี พระวรุณ พระอาทิตย์ พระจันทร์ พระอินทร์ และอื่นๆ เชิญมหาฤษีทั้งหลายมีโอรสแห่งพระพรหม ลูกเขยของตน นับว่าเป็นงานที่ยิ่งใหญ่เรียกได้ว่าเป็นมหาสันนิบาตแท้จริง มิเคยมีใครทำได้มาก่อน แต่มหาสันนิบาตครั้งนี้ พระทักษะมิได้เชิญบุคคลที่ควรเชิญคือ พระสตี และพระศิวะ ยังความประหลาดใจให้บังเกิดแก่มหาสมาคมเป็นอย่างยิ่ง “ข้าแต่ท่านพ่อ” พระกัศยปพรหมฤษีเทพบิดรผู้เป็นเขยคนหนึ่งของพระทักษะ มีความสงสัยจึงเรียนถาม “ ทำไมท่านพ่อไม่เชิญพระศิวะและพระสตีมาในงานครั้งนี้ด้วยเล่า ท่านพ่อมีเหตุผลอันใดหรือ” “ข้าไม่ต้องการเชิญคนพรรค์นั้น” พระทักษะตอบอย่างหยิ่งๆ “จะเชิญมาทำไมเล่า นางลูกไม่รักดีกับเจ้าผัวน่าทุเรศของมันนั่น” “แต่พระศิวะทรงเป็นพระเจ้านะท่านพ่อ ท่านพ่อกำลังดูหมิ่นพระองค์รู้หรือไม่” พระยมเทพกล่าวเตือนสติ “ข้าไม่สนใจ” พระทักษะดึงดัน “เจ้าคิดว่าข้าเป็นใครเล่ายมเทพข้าเป็นถึงโอรสพระพรหม มีลูกสาว ลูกเขย มีหลานเต็มเมืองไปทั้งโลกและสวรรค์ ยกเว้นองค์พระปิตามหาเป็นเจ้าแล้ว หามีใครยิ่งใหญ่เสมอข้าไม่ ก็ศิวะนั้นมีอะไร มีอะไรที่ข้าต้องใส่ใจเล่า ข้าไม่เคยนึกถึงความสำคัญแม้แต่นิด มีก็แต่พวกเทวะโง่ๆบางพวกเท่านั้นที่ยกเขาเป็นพระเจ้า นี่แน่ยมเทพ เจ้าก็เป็นเขยคนหนึ่งของข้าไฉนจึงยกย่องศัตรูต่อหน้าข้าอย่างไม่ละอายใจ หยุดเถิดข้าไม่อยากฟัง” ข่าวเรื่องนี้แพร่สะพัดไปทั่วสามโลกในเวลาอันรวดเร็ว พระสตีได้ทราบก็รีบรุดไปหาบิดา ณ มหายัชญพิธีในทันที พระทักษะแลเห็นก็เมินหน้า ไม่พูดด้วยแม้แต่คำหนึ่ง
“ข้าแต่ท่านพ่อ” พระสตีกล่าวพลางสะอื้นไห้น้ำตาไหลพรากด้วยความอับอายและเสียใจ “เหตุใดท่านพ่อจึงทำดังนี้ ท่านพ่อเจตนาเชิญลูกสาวและลูกเขยทุกคน ทวยเทพฤษีก็ได้รับเชิญโดยทั่วหน้ากัน แต่ลูกเป็นอะไรเล่า ลูกมิใช่ลูกคนโตของท่านพ่อหรอกหรือ ลูกมีความผิดอะไร จึงถูกกีดกันถึงเพียงนี้ มิหนำซ้ำพระมหาเทพผู้เป็นสามีของลูกก็ยังถูกดูหมิ่นเหยียดหยามอีก พ่อไม่น่าจะทำเลย” “ทำไมข้าจะไม่ควรทำ” พระทักษะมุนียิ้มเยาะ “ข้าเจตนาทำด้วยซ้ำ ไม่ใช่เพราะความหลงลืมอะไรหรอก สำหรับนางลูกไม่รักดี ข้ากระทำครั้งนี้เพื่อแสดงความไม่ไยดีและไม่แยแสว่าเจ้าจะเป็นใคร จะรู้สึกอย่างไร เพราะข้าถือว่าเจ้าไม่ใช่ลูกของข้าอีกแล้ว ลูกที่ไม่เชื่อฟังคำของพ่อแม่ จะนับเป็นพ่อลูกกันต่อไปได้อย่างไร ลูกเขยลูกสาวของข้าทั้งแปดสิบสามคน ทำตนเหมาะสมภูมิฐาน น่าเคารพนับถือ ผิดกับผัวของเจ้าเป็นไหนๆ…” “ผัวของลูกเป็นอย่างไร” พระสตีสวนขึ้นทันควัน “พ่อเห็นว่าองค์พระศิวะทรงเสียหายบกพร่องตรงไหน” “ข้าไม่ชอบ” พระทักษะตวาดเสียกร้าว “ข้าไม่ชอบผัวเจ้าทั้งรูปลักษณ์และความประพฤติ ดูการแต่งตัวของผัวเจ้าสิ ทุเรศ ดูได้หรือสกปรกก็เหลือประมาณ ทำตนเป็นภูเตศวร (นายผี) เที่ยวเร่ร่อนอาศัยตามป่าช้า เอาเถ้าถ่านอังคารธาตุตามเชิงตะกอนมาทาตัว ทาจนหน้าขาวโพลน เอากะโหลกผีมาร้อยทำพวงมาลัยสวมคอ เอางูเงี้ยวเขี้ยวหนอนมาทำสังวาล นุ่งหนังเสือหนังช้าง ถือสามง่ามเที่ยวเขี่ยศพบนจิตกาธาร” พระทักษะหยุดพูดครู่หนึ่ง ในมหาสามคมมีเสียงสรวลเสคิกคักด้วยความขบขันและดูหมิ่นเหยียดหยามพระศิวะทั่วไป พระทักษะกล่าวต่อ “บางครั้งข้ายังคิดว่าข้าพอทนได้กับการแต่งเนื้อแต่งตัวสกปรกของผัวเจ้า แต่ความประพฤติของเขานั่นสิเหลือจะทนทาน เขาคิดว่าเขาเป็นใคร เขาเคยให้เกียรติแก่ข้าบ้างไหน เขาไม่เคยลุกขึ้นแสดงความเคารพข้า และยังติเตียนข้าต่างๆ เมื่อเขาทำใหญ่โตกับข้าถึงเพียงนี้ เจ้ายังคิดว่าข้าควรจะให้เกียรติแก่เขาอีกหรือ ข้าสะใจนักที่ข้าสามารถแก้แค้นครังนี้ได้” “อนิจจา ทำไมพ่อจึงมีความคิดเห็นนอกรีตนอกรอยดังนั้น” พระสตีคร่ำครวญ “พระศิวะทรงเป็นพระเจ้า พระองค์ทรงเป็นพระเจ้าแห่งจักรวาล ทรงมีภาวะประเสริฐเหนือทวยเทพและสิ่งมีชีวิตทั้งมวล เปรียบเหมือนเขาพระสุเมรุกับธุลีดิน เหตุใดพ่อจึงมีโมหะหลงตัวเอง ขาดความสำนึกถึงเพียงนี้ พ่อมีฐานะต่ำต้อยกว่าพระศิวะอย่างมากมาย จะเปรียบกันได้หรือ ลูกขอให้ท่านพ่อกลับตัวกลับใจเสียใหม่เถิดก่อนที่ทุกสิ่งจะสายเกินไป” “ฟังนี่แน่ะทุกๆคน “ พระทักษะลุกจากแท่นขึ้นยืนประกาศ “ฟังนางตัวดีมีว่า จะให้ข้ากลับตัวกลับใจ หันไปยกย่องผัวมัน มันว่าข้าเหมือนธุลีดิน ส่วนผัวของมันเหมือนภูเขาพระสุเมรุ ข้าเพิ่งรู้เดี๋ยวนี้เองว่าผัวนางสตีเป็นพระเจ้า แต่ข้ายังสงสัยอยู่ว่าวิมานของพระเจ้านั้นอยู่ที่ไหน อยู่ที่เชิงตะกอนในป่าช้านั่นหรอกหรือ ใครช่วยตอบปัญหาให้ข้าที” มีเสียสำรวลสนั่นกราวไปทั้งมหาสมาคมเหมือนเป็นเรื่องที่ชวนขบขันนักหนา พระสตีเทวีเหลียวไปดูโดยรอบก็ประสบแต่ภาพใบหน้าอันมาหลายล้วนแต่ยิ้มแย้มเสสรวลโดยทั่วหน้ากันก็รู้สึกอับอายปานจะแทรกแผ่นดินหนี ยกมือขึ้นปิดหูทั้งสองข้างตะโกนว่า “หยุดเถิด หยุดเดี๋ยวนี้ พอกันที” นางผลุนผลันวิ่งฝ่ากลุ่มบุคคลในที่นั้นมุ่งหน้าไปยังอัคนิกุณฑ์ คือกองไปกองใหญ่ซึ่งมีเปลงไฟแดงฉานพวยพุ่งแฉลบไปมาเหมือนลิ้นอสูรที่กำลังแลบเลียคอยลิ้มรสเหยื่ออยู่ เมื่อวิ่งมาถึงปากหลุมเพลิง นางก็ทรุดตัวลงนั่งคุกเข่ายกสองมือขึ้นกระทำอัญชลีเหนือหน้าผาก และเหยียดมือกระพุ่มออกไปเบื้องหน้าเป็นการคารวะต่อองค์พระอัคนิเทพเจ้า น้ำตานางหลั่งไหลไม่ขาดสาย สะอื้นไห้พลางกล่าวสัตยวาจาว่า “ข้าแต่พระอัคนิเทพ ขอทรงเป็นพยานแก่ข้า ข้าแต่พระจตุรพักตร์ผู้สถิต ณ พระแท่นบัวทองในพรหมโลก ข้าแต่พระวิษณุเป็นเจ้าผู้สถิต ณ เกษียรสาครในสวรรค์ชั้นไวกุณฐ์ ข้าแต่พระศิวะเจ้าจอมไกรลาศพระสวามีของข้า ขอได้ทรงสดับวาจาของข้าในวาระสุดท้ายนี้ว่า ข้าสตีผู้ต่ำต้อยขอประกาศว่า ข้าจะขอรักและภักดีต่อองค์พระมหาเทพสวามีของข้าตลอดไป ในอดีตกาลข้าเคยรักพระองค์ด้วยสุดจิตสุดใจของข้าฉันใด ปัจจุบันนี้ข้าก็ยังมั่นในความรักต่อพระองค์ไม่มีวันเคลื่อนคลาย ฉันนั้น และถึงแม้อนาคตของข้ายังไม่ปรากฏ ยังไม่มาถึง เพราะข้าจะต้องสิ้นชีวิตลงในกาลบัดนี้แล้วก็ตาม ข้าก็จะขอปฏิญญาต่อพระเป็นเจ้าทั้งสามและต่อพระอัคนีผู้เป็นสากษีพยานว่า แม้นในอนาคตกาล ข้าต้องไปเกิดในชาติใดภพใด ข้าก็จะขอรักและภักดีต่อพระไตรศุลีตลอดไปไม่มีวันเสื่อมหาย ฟ้าและดินจะล่วงไป แต่ถ้อยคำของข้าจะสิ้นสูญไปก็หามิได้เลย เมื่อเกียรติของสามีสุดสิ้นลงแล้ว เกียรติของภรรยาจะดำรงอยู่ได้ไฉน ข้าตกอยู่ในสดภาพนี้ในวันนี้ เป็นภาวะอันสุดแสนจะทนทาน ถ้าการตายของข้าจะเป็นการประท้วงให้ทุกคนรู้สำนึกในการอันควรและไม่ควร และเป็นการรักษาไว้ซึ่งเกียรติอันสูงสุดของพระผู้เป็นเจ้า การตายของข้าก็สมควรแล้วด้วยประการทั้งปวง” กล่าวจบ พระเทวีก็ก้มลงกราบบนพื้นศิลาหน้าอัคนิกุณฑ์ แสดงคารวะต่อพระเป็นเจ้าและเป็นการอำลาต่อพระศิวะสวามี ลูกขึ้นยืนพนมมือก้มศรีษะแสดงคารวะต่อที่ประชุมแล้วตัดใจโผร่างเข้าสามหาอัคคีเบื้องหน้าในทันที เปลวไฟสีแดงฉานอันร้อนแรงก็กลืนร่างพระสตีหายไป และเปล่งแสงรุ่งโรจน์โชติช่วงพลุ่งโพลงขึ้นเต็มแรง แล้วแตกประกายเป็นเม็ดไฟกระจายออกไปรอบด้าน ยังความอัศจรรย์ให้บังเกิดในที่ประชุมได้เห็นทั่วหน้ากัน พระศิวะโยเคศวรกำลังประทับนั่งเข้าฌานสมาธิเป็นปกติอยู่บนพระแท่นหน้าทิพยวิมานบนยอดเขาไกรลาส เมื่อพระสตีเทวีทำลายพระชนม์ชีพในกองไฟนั้น พระเป็นเจ้าทรงสะดุ้งในพระทัยเหมือนพระทัยจะหยุดเต้น ลืมพระเนตรขึ้นทันที เมื่อทรงนึกตรึกตรองดูก็ทราบเรื่องทั้งหมดโดยทิพยญาณแจ่มแจ้ง ทรงตกพระทัยยิ่งนัก รู้สึกเหมือนดวงฤทัยจะแตกสลายเป็นเสี่ยงๆ เมื่อทราบว่าพระสตีสิ้นชีวิตแน่นอนแล้ว ไม่มีทางจะแก้ไขได้อีก พระเป็นเจ้าก็เศร้าเสียพระทัยนัก น้ำพระเนตรพรั่งพรูไม่ขาดสาย พลันก็บังเกิดความแค้นแสนสาหัส ลุกขึ้นกระทืบบาทแผดเสียงสนั่นดังฟ้าผ่า และทรงกลายร่างเป็นพระไภรวะ (พระศิวะปางดุร้าย) ไปในทันที มีสรีร่างกำยำล่ำสันมหึมา มีดวงเนตรเบิกโพลงถมึงทึงเปล่งแสงแดงฉานดังถ่านไปลุกโชติช่วง พระเป็นเจ้าทรงทึ้งพระเมาลี หลุดลุ่ยสยายลงประบ่า พระเกศาสองเส้นตกลงบนพื้นหินหลายเป็นเทพอสูรร้ายกาจสองตนชื่อ วีรภัทร และ ภัทรกาลี กวัดแกว่งอาวุธเป็นเปลงเพลิงสว่างรุ่งโรจน์วิ่งนำไปข้างหน้า ส่วนองค์พระไภรวะ โลดแล่นตามติดไป เสียงสะเทือนเลื่อนลั่นประหนึ่งโลกจะแตกทำลาย เมื่อมาถึงมหาสามคมอันมีพระทักษะประทับอยู่บนแท่นเป็นประธานอยู่ พระไภรวะก็วิ่งปราดตะลุยเข้าไปทันที
ทวยเทพฤษีเห็นก็ตกใจแตกฮือออกไปโดยรอบด้าน พระภคะผู้เป็นพระอาทิตย์องค์หนึ่ง ปราดเข้ามาขวางหน้าก็ถูกพระไภรวะเตะนัยน์ตากระเด็นหายไปข้างหนึ่ง พระปูษัน (๑) เข้ามากางกั้น ร้องทูลขอโทษ ก็ถูกตบดีเดียวฟันร่วงหมดปาก วีรภัทร และ ภัทรกาลี ก็แล่นไล่ประหัตประหารผู้คนล้มตายและลาดเจ็บเกลื่อนกลาดเป็นที่น่าสังเวชนัก พระทักษะเห็นเหตุการณ์ไม่คาดฝันก็รีบหนีเอาตัวรอด แต่หนีไม่พ้นถูกพระไภรวะจิกศรีษะกระชากลากถูมาที่ขอบหลุมไฟซึ่งเป็นที่กลืนชีวิตของพระสตี พระไภรวะเหยียบอกพระทักษะไว้และตวาดด้วยความแค้นว่า “อ้ายคนถ่อยบัดซบ โง่เง่าและอวดดีไม่มีที่เปรียบ โอหังบังอาจเป็นเหลือหลาย กล้าท้าทายข้าผู้เป็นใหญ่ในสากลจักรวาลโดยไม่รู้จักเจียมตัว เจ้าคิดว่าข้าเป็นใครจึงได้ดูหมิ่นข้าถึงเพียงนี้ ในโลกนี้จะหาใครโง่เง่าอย่างเจ้าไม่มีอีกแล้ว สตีเมียข้าต้องตายเพราะทนความอัปยศอดสูที่เจ้าเป็นผู้ก่อไม่ได้ นางตายไปเพราะความรักและภักดีต่อข้า ข้าซาบซึ้งในน้ำใจนางยิ่งนัก ชีวิตของนางจะต้องชดใช้ด้วยชีวิตของเจ้าจึงจะสาสม จงตายเสียเถิด คนถ่อย” ตรัสจบ พระไภรวะก็ฟาดพระขรรค์ลงบนคอของพระทักษะ ฉับเดียวศรีษะของพระทักษะก็ขาดสะบั้น และจับศรีษะนั้นเหวี่ยงออกไปนอกจักรวาล แล้ววิ่งเข้าเตะทำลายเครื่องบวงสรวงสังเวยในพิธีกระจัดกระจัดกระจายไปทุกทิศทุกทาง มหายัชญพิธีอันโอฬารก็ถึงกาลอวสาน เมื่อทำลายพิธีสมความแค้นแล้ว พระไภรวะก็กลับคืนร่างเป็นพระศิวะตามเดิม มีความเศร้าโศกเพราะคิดถึงนางไม่เว้นวาย เสด็จออกจากพระวิมานเขาไกรลาส ระเหเร่ร่อนไปในป่าดงพงไพรอันวิเวก จากนั้นก็สัญจรไปในทุ่งกว้างผ่านนครพาราณสีประทับอยู่ที่นครนี้ชั่วครั้งชั่วคราวแล้วก็เดินทางข้ามแม่น้ำคงคาสู่ภาคใต้ผ่านทุ่งราบและป่าใหญ่ ข้ามทิวเขาวินธัยลงสู่แดนทักษิณาบถ มุ่งลงสู่แหลมกุมารีอันเป็นปลายสุดแห่งชมพูทวีป การที่พระศิวะทรงละถิ่น เที่ยวสัญจรร่อนเร่สูญหายไปตามกาลเวลา ทำให้เกิดความวุ่นวายทั้งในสวรรค์และโลกมนุษย์ เหล่าอสูรมารร้ายก็ได้ใจด้วยสิ้นที่ยำเกรง พากันก่อกวนความสงบไม่เว้นวัน เมื่อเหลือจะทนทาน ทวยเทพจึงไปเฝ้าพระธาดาพรหม ให้ทรงช่วยเหลือ พระจตุรพักตร์ทรงสดับเรื่องราวแล้วก็นิ่งไปครู่หนึ่ง จึงตรัสว่า “ดูก่อน เหตุทั้งนี้เป็นไปตามวัฎจักร ความหมุนเวียนของโลกนั้นนำมาซึ่งความทุกข์แล้วก็ถึงความสุข แล้วกลับคืนไปสู่ความทุกข์อีกเล่า เป็นดังนี้เรื่อยไป ทุกมันวันตระ(๒) หาความยั่งยืนเป็นอย่างหนึ่งอย่างใดไม่ ครั้งนี้พระทักษะเป็นต้นเหตุด้วยความโง่เขลาเบาปัญญา ความรักความอาลัยในพระสตี ทำให้พระศิวะต้องหนีจากไป หมดความอาลัยไยดีต่อโลกและสวรรค์อีกต่อไป เมื่อใดพระองค์คลายความคิดถึงพระสตี และทรงอภิเษกสมรสใหม่อีกครั้ง เมื่อนั้นโลกและสวรรค์ก็จะกลับคืนสู่ความสงบสุขอีกวาระหนึ่ง” “อีกนานเท่าใดพระเจ้าข้า” “ก็คงจะนานไม่น้อย บัดนี้พระมหาเทพเสด็จลงสู่แหลมกุมารีปลายสุดของชมพูทวีปอันมีมหาสาครเป็นเขตแดน อีกไม่นานก็จะเสด็จกลับคืนโดยผ่านทางแม่น้ำโคทาวรี แม่น้ำกฤษณา มุ่งขึ้นสู่คยาศรีษะ ข้ามแม่น้ำคงคาแล้วจะมาบำเพ็ญพรตที่ตำบลบุษกร เชิงเขาหิมาลัยในที่สุด กาลเวลาจะล่วงไปหลายพันปี อย่างไรก็ดี พระองค์จะต้องกลับมาและได้พบพระสตีอีกครั้งหนึ่ง” “ก็พระสตีสิ้นชีวิตไปแล้วนี่พระเจ้าข้า” “ถูกแล้ว พระสตีสิ้นชีวิตไปตามครรลองกรรมของนาง แต่จะได้มาเกิดใหม่เป็นธิดาของท้าวหิมวัต เจ้าแห่งขุนเขาหิมาลัย มีนางเมนาอัครมเหสีของท้าวหิมวัตเป็นมารดา นางจะได้นามใหม่ว่า อุมา หรือปารวตี พระศิวะเจ้าจะได้อภิเษกสมรสกับนางและจะมีโอรสด้วยกัน คือพระ คเณศ และ พระ สกันทกุมา แต่…” “อะไรหรือพระเจ้าข้า” “ปัญหามีอยู่ว่า พระศิวะเจ้าทรงมีพระหฤทัยเด็ดเดี่ยวยิ่งนัก ทรงมีความรักแน่นแฟ้นในพระสตีไม่มีเสื่อมคลาย พระองค์จะไม่มีวันรักใคร่ไยดีในหญิงอื่นใดเลย จะทำอย่างไรจึงจะทำให้พระองค์บังเกิดความรักในพระอุมาได้เล่า” “ข้าพระบาทพอมองเห็นหนทางอยู่บ้าง” พระอินทร์ทูลเสนอความคิด “ทำอย่างไร” “ก็อาศัยพระกามเทพ (๓)เป็นผู้ช่วยเหลือสิพระเจ้าข้า” ท้าววัชรินทร์ยืนยัน “ข้าพระบาทเชื่อว่าพระมันมถะแต่ผู้เดียวเท่านั้นที่จะทำหน้าที่นี้ได้สำเร็จ หน้าที่สื่อความรักอย่างไรพระเจ้าข้า” พระครรไลหงส์ทรงแย้มยิ้มด้วยเห็นช่องทรงปลอดโปร่ง ตรัสว่า “กามเทพทำได้แน่นอน ครั้งหนึ่งมันก็เคยทำข้าป่นปี้มาแล้ว ข้าเชื่อว่ามันทำได้แน่ แต่มันจะต้องเสี่ยงไม่น้อย พลาดท่ามันนั่นแหละจะถูกพระศิวะลงโทษเอา พระองค์ไม่ใจดีเหมือนข้าหรอก แต่ช่างเถอะ เรื่องของกรรม กรรมของใครใครก็รับเอาไป ข้าช่วยไม่ได้ เอาเถอะเรื่องนี้ยังอีกนานนักกว่าจะเกิดขึ้น เรื่องปัจจุบันก็คือ ทักษะลูกของข้าซึ่งถูกตัดหัวนอนเป็นผีหัวขาดอยู่ในโรงพิธีนั่น จะต้องแก้ไขให้ฟื้นเสียก่อน ไปเอาร่างทักษะมานี่ แล้วเรียกตัวพระศุกร์ (๔) มาหาข้า ข้าจะให้เขาร่ายมนตร์มฤตสัญชีวินีชุบชีวิตขึ้นใหม่ ส่วนเรื่องหัวที่หายไปนั้น หาไม่ได้ก็ช่างเถอะ ข้าว่าเอาหัวแพะต่อเข้าไปแทนก็แล้วกัน ดีเสียอีก มันโง่นักก็ให้มีหัวเป็นแพะจะได้สิ้นเรื่องสิ้นราวไป” ฝ่ายพระศิวะ หลังจากที่ทรงระเหเร่ร่อนไปในโลกกว้างสิ้นกาลช้านานหลายพันปีแล้วก็เสด็จกลับคืนสู่ภูผาหิมาลัยอีกครั้งหนึ่งแต่ไม่เสด็จสู่วิมานเขาไกรลาสอันเป็นสถานที่เตือนให้ระลึกถึงความรักความหลังอีก ทรงเลี่ยงไปสู่สถานที่อันสงบเร้นลับตำบลบุษกรอันเป็นที่วิเวก ปราศจาการรบกวนใดๆ ณ ที่นั้น พระศิวะก็อาศัยหลืบเขาเจ็ดเหลี่ยมเป็นที่พำนักกายพำนักใจอันชอกช้ำ ประทับนั่งสมาธิแบบวัชราสน์ หลับพระเนตรเข้าสู่ฌานอันลึกซึ้ง ไม่แยแส ไม่อาทรต่อโลกและสวรรค์ ไม่รู้สึกพระองค์ต่ออากาศอันหนาวเย็นรอบข้าง มีแต่ฌานประสาทที่รับรู้ลมหายใจเข้าออกอันบริสุทธิ์เยือกด้วยเกล็ดหิมะที่โปรยปรายลงคลุมร่างพระเป็นเจ้า เป็นละอองระยิบระยับเหมือนทิพยเกสรที่พรั่งพรูลงมามิรู้ขาดสายฉะนั้น (๑)พระปูษัน พระอาทิตย์ตอนเที่ยงวัน เป็นเทพศรีษะล้าน ไม่มีฟัน เครื่องสังเวยสำหรับเทพองค์นี้จึงเป็นข้าวต้ม หรืออาหารเละๆ (๒) มันวันตระ (มนุ+อันตระ) ช่วงเวลาของโลก แบ่งออกเป็น ๑๔ ช่วง ช่วงหนึ่งๆมีพระมนูมาเกิดองค์หนึ่ง ในช่วงที่เราอยู่นี้เป็นมันวัตระที่ ๗ มีพระมนูมาเกิดทรงนามว่า ไววัสวัต (๓) พระกามเทพ หรือพระอนงค์ คำว่าอนงค์ แปลว่าไม่มีตัวตน ไม่มีร่างกาย เป็นฉายานามของพระกามเทพ เพราะ พระกามเทพถูกพระศิวะเผาผลาญด้วยไฟจากพระเนตรที่สาม(ที่หน้าผาก) จนร่างมอดไหม้ไปหมด ตั้งแต่นั้นกามเทพก็กลายเป็นผู้ไม่มีรูปร่าง (๔) พระศุกร์ (หรืออุศนา) เป็นเทพฤษี ลูกชายของพระภฤคุ และเป็นหลานของพระพรหม เป็นผู้เดียวที่รู้มนตร์ชุบชีวิตคนตาย เรียกว่า มนตร์มฤตสัญชีวินี จากหนังสือ ประภาวดี โดย อ.ศักดิ์ศรี แย้มนัดดา พิมพ์ครั้งแรก ๒๕๓๒

ไม่มีความคิดเห็น: