02 สิงหาคม 2551

อหลยา

อหลยา อหลยาเป็นผู้หญิงที่สวยที่สุดคนหนึ่ง เป็นสตรีคนแรกที่พระธาดาพรหมสร้างขึ้น และประทานให้แก่ฤษีเคาตมะด้วยความเมตตา เพื่อให้นางปรนนิบัติรับใช้พระมุนีให้มีความสุข เคาตมะเป็นพรหมฤษีผู้หนึ่งในกลุ่มฤษีทั้งเจ็ด อันมีชื่อเรียกว่า สัปตฤษี (ปัจจุบันหมายถึงดาวจระเข้ เจ็ดดวงบนท้องฟ้า) เป็นผู้ได้รับการยกย่องเรียกขานว่า ตริกาลัชญะ คือผู้รู้กาลเวลาทั้งสาม อันได้แก่ อดีต ปัจจุบัน และ อนาคต พระเคาตมมุนีสร้างวนาศรมอยู่ใกล้ภูเขาวินธัยมีความสงบสุขสันโดษอยู่ด้วยนางอหลยาเป็นเวลาช้านาน หาความเดือดร้อนใจมิได้ แต่ความสุขของพระมุนีเฒ่าก็พลันหยุดชะงักลงด้วยการแทรกแซงของพระอินทร์ผู้มัวเมาด้วยกามกิเลศไม่มีที่สิ้นสุดในสมัยหนึ่ง เรื่องก็คือท้าววัชรินทร์นั่งรถแก้วแววฟ้าแล่นไปในอากาศผ่านมาทางป่าใหญ่เชิงเขาวินธัย ท้าวเธอแลลงไปข้างล่างโดยบังเอิญ ก็พลันประสบภาพสาวงามกำลังอาบน้ำอยู่ในลำธารใกล้อาศรมแห่งหนึ่ง ความงามตามธรรมชาติของนางเป็นที่จับอกจับใจของพระจอมเทพยิ่งนัก ถึงกับมองตามจนเหลียวหลัง จนกระทั่งมาตลีขับรถคล้อยลับสายตาไป “นางเป็นใครกันหนอ มาตลีรู้บ้างไหม” จอมสรวงตรัสถามมาตลีสารถี “ดูเหมือนนางจะอยู่ที่กระท่อมหลังน้อยนั่นเอง” “ถูกแล้วพระเจ้าข้า นางอยู่ที่กระท่อมหลังนั้น” มาตลีเทพสารถีกราบทูล “นางที่พระองค์ทอดพระเนตรเห็นนั้นมิใช่อื่นไกล คืออหลยา นางเป็นภรรยาของพระเคาตมมหามุนี เจ้าของวนาศรมหลังน้อยนั้น ทรงสนพระทัยหรือพระเจ้าข้า” ท้าวศักรินทร์ไม่ตรัสตอบ ในพระทัยมีแต่ความหมกมุ่นถึงภาพนางอย่างเดียว ทำให้ไม่สนพระทัยต่อคำถามของสารถี ทรงพึมพำแผ่วเบาเหมือนตกอยู่ในมนตร์สะกดอันลึกซึ้ง “อหลยา อหลยา ชื่อแปลก มีความหมายว่า ยังไม่ได้หว่านไถ นางมีเจ้าของเสียแล้ว น่าเสียดายยิ่งนัก” มาตลีไม่ได้ยินคำรำพึง คงกล่าวต่อไป “อหลยาสวยนะพระเจ้าข้า เมื่อพระพรหมแรกสร้างนางขึ้นนั้น ใครๆก็อยากได้นาง แต่พระปิตามหะกลับมองนางให้แก่พระฤษีเคาตมะ เพราะทรงโปรดความมักน้อย และความถ่อมตนของพระฤษีตนนั้น ก็เลยเป็นมหาลาภของพระมุนีไป ไม่มีใครกล้าหมายปองนางอีก” “เราอยากพบนางอีก” ท้าวศจีบดีเผลอไผลตรัสด้วยความหลง “นางช่างงามถูกใจเราไปเสียหมดทุกอย่าง เราจะต้องพบนางอีก หาไม่แล้วเราคงไม่มีความสุขไปตลอดชีวิต” “ไม่ทรงกลัวเกรงพระมหามุนีเลยหรือพระเจ้าข้า” มาตลีถามยิ้มๆ ท้าววัชรินทร์ทรงนิ่งอึ้งไปชั่วขณะ ตรัสอย่างชั่งพระทัยว่า “นั่นแหละคือปัญหาใหญ่ที่เราคิดไม่ตก แต่จะทำกระไรได้ นางมีค่าควรแก่การเสี่ยงมิใช่น้อย มิใช่หรือ” “พระเจ้าข้า สมควร แต่โปรดระวังพระองค์ไว้บ้าง ถึงพระเคาตมมุนีจะไม่ปรากฏชื่อเสียงว่าเคยสาปใครเพราะโดยปรกติเป็นผู้ถ่อมตนนักหนาก็จริงแล แต่พระมุนีเป็นผู้ที่มีความคิดลึกซึ้งสุดหยั่ง ยากที่ใครๆจะคาดคะเนได้ บุคคลไม่พึงวัดความลึกของเกษียรสาครได้ฉันใด อารมณ์ร้ายดีของพระมหาฤษีก็วัดไม่ได้ฉันนั้น” “จริงแล้ว” ท้าวมัฆวานรำพึงในพระทัย “แต่เรารักนาง แม้ไม่พยายามไฉนจะได้ดังใฝ่ฝัน” พระองค์มิได้บรรทมหลับเลยแม้สักชั่วครู่ยาม นอนกระสับกระส่ายอยู่บนแท่นบัณฑุกัมพลศิลาอาสน์ แม้กลิ่นปาริชาติอันหอมชื่นใจจะระรวยมาตามสายลมรำเพย ก็มิอาจสะกดพระทัยอันรุ่มร้อนของจอมเทพให้คลายลงได้ พอสิ้นราตรี แสงสีชมพูของอุษาเทวีฉายจับของฟ้า ท้าวเธอก็เร่งรีบมาสู่ป่า ทรงแฝงพระองค์อยู่บนเหลี่ยมภูผาอันสลับซับซ้อนเบื้องหลังวนาศรม ลำดับนั้นได้เวลาที่พระอาทิตย์ปรากฏ ดวงแจ่มจรัสพ้นหมู่เมฆ พระเคาตมหามุนีผู้เคร่งครัดต่อวัตรปฎบัติของตนก็เปิดประตูอาศรมก้าวออกมา มือหนึ่งถือไม้เท้าพรหมทัณฑ์อันศักดิ์สิทธิ์ อีกมือหนึ่งถือตะกร้าสำหรับใส่ผลไม้และตะขอสำหรับเกาะเกี่ยว พระฤษีเฒ่ารีบเดินดุ่มมุ่งสู่ลำธาร เมื่อถึงก็วางสิ่งของไว้บนฝั่ง ค่อยก้าวลงไปยืนท่ามกลางกระแสน้ำอันไหลเอื่อย ยกหัตถ์ทั้งสองขึ้นพนมเหนือศีรษะ รำลึกถึงองค์พระอาทิตย์อันมีนามว่า สวิตฤ (สะ-วิ-ตรึ) อันประทับเหนืออาสน์บนราชรถทองคำลอยล่องในโค้งฟ้า พลางสำรวมจิตร่ายมหามนตราคายตรี (คา-ยะ-ตรี) อันศักดิ์สิทธิ์ จบแล้วก้มตัวลงกอบน้ำในลำธารขึ้นถวายเป็นเทวพลี จากนั้นจึงเอาน้ำลูบหน้าและเนื้อตัวเป็นอันเสร็จกิจวัตรยามเช้า พระมุนีค่อยๆก้าวขึ้นตลิ่ง หยิบไม้เท้าและตะกร้าตะขอขึ้นถือเดินลัดเลาะเสาะแสวงหาผลาผลตามทางในป่าไม่รีบเร่ง ท้าววัชรินทร์แอบดูเห็นพระฤษีเดินไปจนสุดสายตาห่างไกลจากวนาศรม กะเวลาว่าคงอีกนานจะกลับมา ท้าวเธอก็รีบรุดเข้าไปในอาศรมทันที ขณะนั้นอหลยาโฉมงามกำลังปัดกวาดพื้นห้องในอาศรมอยู่ ไม่ทันรู้สึกตัวว่ามีผู้ลอบเข้ามาในห้อง พอเงยหน้าขึ้นเห็นองค์อมรินทร์ยืนอยู่มีความสง่างาม และความองอาจผิดมนุษย์ธรรมดา นางก็เดาได้ในใจว่าบุรุษผู้นี้ต้องเป็นเทพมเหสักข์องค์ใดองค์หนึ่งเป็นแน่ นางก็รู้สึกตกใจและขวยเขินยิ่งนัก แข็งใจถามว่า “ท่านคือใคร เหตุใดจึงบุกรุกเข้ามาถึงที่นี่” “อย่าตกใจไปเลย” ท้าวมัฆวานตรัสปลอบ “เรามิใช่ชายอันธพาล หรือภูตผีปีศาจตนใด เราคือท้าววัชรินทร์ผู้เป็นใหญ่ในสวรรค์ มีอำนาจเหนือทวยเทพทั้งปวง เราผ่านมาทางนี้เมื่อเย็นวาน เห็นเจ้าที่ลำธารก็เกิดความรักอย่างฝังใจไม่อาจจะเลือนลืมได้ เราจึงต้องตามมาหาเจ้า หวังแต่เพียงจะให้เจ้าเมตตารับไมตรีของเรา เจ้าอย่าได้ปฏิเสธเราเลย” “พระองค์ตรัสไม่สมควร” นางพยายามบ่ายเบี่ยง “โปรดทรงทราบเถิดว่าหม่อมฉันมีสามีแล้ว พระพรหมประทานหม่อมฉันให้แก่พระฤษีเคาตมะ เพื่อทำหน้าที่ภรรยาที่ซื่อสัตย์ต่อสามี หม่อมฉันมิใช่คนตัวเปล่า อย่าทรงข้องเกี่ยวกับหม่อมฉันเลย เสด็จกลับไปเสียเถิด ถ้าพระมุนีกลับมาเห็นเข้าจะเกิดเรื่อง” “เจ้าอย่ากลัวเรื่องนั้นเลยเรารับรอง” อัมรินทร์ตรัสอย่างดื้อดึง “เรามิให้เจ้าต้องเดือดร้อนหรอก อีกอย่างหนึ่ง จะกลัวไปไย องค์พระมุนีก็ไปหาผลไม้ในป่าโน้น ไกลลิบลับ อีกนานนักหนากว่าจะกลับมา เจ้าอย่าขัดขืนเบี่ยงบ่ายต่อไปเลย เวลานี้ควรจะเป็นเวลาแห่งความสุขของเราโดยแท้” “เหตุไฉนพระองค์จึงหักหาญเอาแต่พระทัยเช่นนี้ หม่อมฉันเป็นหญิงที่อ่อนแอ จะต่อสู้ปกป้องตนเองได้อย่างไร ได้โปรดเถิด อย่ารุกรานหม่อมฉันให้อัปยศต่อไปอีกเลย เสด็จกลับไปเสียเถิด หม่อมฉันขอร้อง” “ถ้าข้าไม่ได้เจ้าสมความปรารถนา ข้าก็ไม่กลับ” ท้าวศจีบดีดึงดันไม่ฟังเหตุผล ทรงใช้กำลังคุกคามนาง จนนางมิอาจขัดขืนต่อไปได้ ก็จำต้องยอมตามพระทัยในที่สุด ขณะนั้นเองพระเคาตมพรหมฤษีก็กลับจากการหาผลไม้ก้าวเข้าสู่เขตวนาศรม ยังมิทันจะถึงประตู พระโยคีเฒ่าก็พลันทราบเหตุทั้งปวงที่เกิดขึ้นด้วยญาณอันเร้นลับ พระมุนีก็วางตะกร้าผลไม้ลง ถือไม้เท้าพรหมทัณฑ์ก้าวเข้ามาในประตูอาศรมทันที
พระอินทร์และนางอหลยาประสบเหตุการณ์เฉพาะหน้าอันไม่คาดฝันก็ตกใจแทบหมดสติ พระอินทร์นั้นได้สติก่อนรีบแปลงองค์เป็นแมวขาวปลอดตัวหนึ่งนอนอยู่หน้าเตียง ส่วนนางอหลยายืนก้มหน้าตัวสั่นมีความหวาดกลัวสุดขีด พระเคาตมมุนีแลไปเห็นแมวนอนอยู่ก็ทราบด้วยทิพยญาณว่าเป็นใคร แต่แกล้งถามนางอหลยาว่า “นี่อะไร” นางค่อยเงยหน้าขึ้นสบตาสามี และตอบด้วยความสะทกสะท้านว่า “ มัชชาโอ” (คำนี้เป็นภาษาปรากฤต ถ้านับเป็นศัพท์คำเดียว มัชชาโอ แปลว่า แมว แต่ถ้าแยกเป็นสองคำต่อกัน คือ มัช+ ชาโอ จะแปลว่า ชู้ของฉัน เพราะ มัช แปลว่า ของฉัน และ ชาโอ แปลว่า ชู้) พระมุนีได้ฟังคำตอบสองง่ามสองแง่อันชาญฉลาด เล่นเงื่อนงำเล่นความหมายอย่างพิสดารเช่นนั้น ก็อดนึกชมความเฉียบแหลมของนางแต่ในใจไม่ได้ กล่าวยิ้มๆว่า “ช่างหลักแหลมจริงหนอ เจ้าจะให้ข้าเข้าใจว่าอะไรเล่า อย่างไรก็ดี แม้เจ้าจะให้มีความหมายว่า แมว แต่ก็ยังมีความหมายอื่นซ้อนอยู่ เจ้าไม่ได้โกหกเสียทีเดียว ยังแฝงความจริงอยู่บ้าง ถือว่าเจ้าสารภาพกึ่งหนึ่งเพราะฉะนั้นข้าจะลดโทษของเจ้าลงกึ่งหนึ่งด้วย อหลยา จงฟังข้า เจ้ามีความผิดในการกระทำครั้งนี้ในฐานะเป็นผู้ร่วมกระทำด้วยแม้ไม่เต็มใจก็ตาม ความจริงถ้าจะว่าไป หากเจ้าจะไม่ไยดีในอินทรเทพจริงๆ และประกาศสัตยกริยา คืออ้างความจงรักภักดีที่เจ้ามีต่อข้าโดยแท้จริง อำนาจแห่งความสัตย์จะช่วยคุ้มครองเจ้าให้ปลอดภัยทุกประการ ศจีบดีจะทำอะไรเจ้าได้ เพราะอำนาจแห่งความสัตย์ย่อมอยู่เหนืออำนาจอธรรมทั้งปวง แต่นี่เจ้าก็มิได้อ้างสัตยกริยา จิตใจของเจ้าอ่อนแอเกินไป พลอยเผลอไผลอารมณ์ไปด้วยวูบหนึ่ง จึงกลายเป็นตราบาปที่ประทับชีวิตของเจ้าไปชั่วกาลนาน อหลยาเอ๋ย ข้าสงสารเจ้า แต่ข้าช่วยอะไรเจ้าไม่ได้หรอก พระเป็นเจ้าเท่านั่นที่จะช่วยลบล้างมลทินของเจ้าได้ เจ้าจงกลายเป็นตุ๊กตาหินไปหมื่นปี จนถึงกาลเวลาที่พระวิษณุเสด็จอวตารลงมาในโลกเพื่อปราบท้าวราพณาสูร (ทศกัณฐ์) พระองค์จะทรงนามว่า รามจันทร์ เมื่อใดที่พระรามจันทร์พร้อมด้วยพระลักษมณ์อนุชา เสด็จติดตามหาพระนางชานกี (ชา-นะ-กี นางสีดา) ผ่านมาทางนี้ พระรามจันทร์จะทอดพระเนตรเห็นเจ้า และด้วยสายพระเนตรอันทรงไว้ซึ่งความเมตตาอย่างลึกซึ้งของพระเป็นเจ้าที่ทรงเพ่งดูเจ้านั้นแล อหลยา เจ้าจะได้กลับฟื้นคืนชีวิตอีกครั้งหนึ่ง บัดนี้ข้ากับเข้าจะต้องอำลาจากกันแล้ว เราคงจะไม่ได้พบกันอีกนับหมื่นปี แต่เอาเถอะ ถึงเวลาที่เจ้าได้รับการชำระมลทินด้วยพระมตตาจากพระพิษณุเป็นเจ้าเรียบร้อยแล้ว ข้าจะกลับมารับเจ้า ณ ที่นี้ เมื่อนั้นเราจะได้พบกันอีก” สิ้นคำสาปสรร นางอหลยาผู้เคราะห์ร้ายก็กลายร่างเป็นศิลาไปทันที ท้าวศจีบดีแลเห็นเหตุการณ์อันน่าสยดสยองที่เกิดขึ้นเฉพาะหน้าเช่นนั้นก็ตกใจ รีบคืนร่างเป็นอมรินทร์ตามเดิม ยืนก้มหน้ารับผิดด้วยใจระทึก พระฤษีเฒ่าเหลือบดูจอมเทพแวบหนึ่งด้วยสายตาที่แสดงความลึกลับสุดหยั่ง ใบหน้าเฉยเมยเหมือนไร้ความรู้สึก แต่เสียงที่เปล่งออกมานั้นเป็นประกาศิตที่เปรียบประดุจคมศรอันแหลมคม บาดลึกในหฤทัยของราชาแห่งเทพอย่างลึกซึ้ง เป็นประกาศิตที่ยังให้เกิดความเจ็บและอายไปชั่วนิรันดร “ดูก่อนท้าววาสพ “ พระมหามุนีกล่าวอย่างเยือกเย็น “ท่านนี้เป็นถึงจอมเทพ แต่ความประพฤติของท่านนั้นย่อหย่อนหาได้สมควรแก่ฐานะอันสูงส่งไม่ การขาดสติเป็นเครื่องยึดเหนี่ยวทำให้ท่านประพฤติผิดคลองธรรมครั้งแล้วครั้งเล่า การที่ท่านหลงมัวเมาในลาภยศและหวาดเกรงตบะเดชะของพระมหาฤษี ถึงกับใช้อุบายสกปรกส่งนางอัปสรไปลวงล่อด้วยอิตถีมายา ทำให้พระฤษีเหล่านั้นต้องสูญเสียตบะ และกุศลผลบุญที่บำเพ็ญมาจนหมดสิ้น โดยที่ท่านมิได้เมตตาปรานีแม้แต่น้อย จิตใจของท่านมีแต่ความเห็นแก่ตัวเป็นที่ตั้ง ท่านส่งเมนกาไปทำลายตบะของพระวิศวามิตรจนมีลูกด้วยกันคือ ศกุนตลา แล้วก็เลิกรากันไป พระวิศวามิตรต้องไปเริ่มต้นบำเพ็ญตบะใหม่ พอท้าวเธอเริ่มก้าวหน้าในฌานวิถี ท่านก็ส่งรัมภาไปก่อกวนอีก ทำให้รัมภาถูกพระฤษีสาปเป็นหินไปพันปี ครั้งนี้ท่านก็ลุแก่อำนาจกามตัณหามาก่อความอดสูให้แก่เราจนนางถูกเราสาปให้เป็นหินเพื่อชดใช้ความผิดที่ร่วมก่อกับท่าน ท่านเคยนึกสงสารหญิงเคราะห์ร้ายพวกนี้บ้างหรือไม่ ท่านนึกถึงรัมภาก็แต่ในฐานะที่นางเป็นคนรับใช้ เป็นทาสของท่าน ครั้งนี้ท่านก็นึกถึงอหลยาเพียงฐานะเหยื่อตัณหาของท่านเท่านั้น ใช่หรือไม่” พระอินทร์ยืนก้มหน้าดุษณี ไม่อาจจะโต้ตอบแม้คำหนึ่ง เหมือนเด็กยืนสงบเสงี่ยมต่อหน้าครูของตน พระเคาตมะจึงกล่าวต่อไป “ดูก่อนเทวินทร์ ท่านจงฟังเรา และฟังให้ดี ท่านจงรู้เถิดว่า อาชญากรรม คือการทำผิดย่อมควบคู่กับ ทัณฑะ คือการลงโทษ เมื่อมีการทำผิดครั้งใดก็ต้องมีการลงโทษทุกครั้ง เป็นระบอบแบบแผนที่ยอมรับกันมาตั้งแต่สร้างสวรรค์ สร้างแผ่นดินโลก ท่านควรจะรู้ดีกว่าใครๆ ไม่ว่าจะเป็นกฎสากล คือ ฤตะ หรือ กฎหมาย ธรรมสูตร ธรรมศาสตร์ใดๆ อันมีมาแต่บรมสมกัลป์ ถ้ามีแต่อาชญากรรมและปราศจากทัณฑะ ก็จะมีแต่คนพาลสันดานหยาบเป็นใหญ่ในสังคม โลกนี้จะดำรงต่อไปได้ไฉน แม้เรามิลงทัณฑ์แก่ท่าน ทั้งสามโลกก็จะติฉินเราว่าไม่มีธรรมะ เห็นผิดเป็นชอบ ลำเอียงเพราะ ภยาคติ ฉะนั้นเราจะต้องลงทัณฑ์แก่ท่านมิให้เป็นเยี่ยงอย่างแก่ผู้ทำผิดทั้งหลาย แต่เราจะไม่รุนแรงแก่ท่านนักหนาเหมือนเมื่อครั้งที่พระฤษีทุรวาสสาปแช่งท่านเพียงให้รู้จักหลาบจำเท่านั้น นี่แน่ท้าว วชิรปาณี ท่านหลงใหลใฝ่ฝันอะไร ท่านติดอกติดใจอะไรนักหนา สิ่งนั้นจงสัมฤทธิผลสมความปรารถนาของท่านเถิด” “ขอให้เครื่องหมายแห่งสตรีเพศจงปรากฎทั่วไปบนร่างของท่าน เราสาปท่านเพียงนี้ก็นับว่าเบานักหนาแล้ว จริงอยู่ ท่านอาจจะต้องทนต่อความอับอายขายหน้าไปช้านาน แต่อย่ากลัวไปเลย เมื่อเวลาผ่านไปหลายพันปี ท่านจะได้รับความช่วยเหลือจากบุพพเปตบุรุษอันเป็นเทวดาชั้นต่ำพวกหนึ่ง เขาจักช่วยดัดแปลงเครื่องหมายแห่งความอัปยศบนกายท่านให้มัลักษณะดังนัยน์ตาเรียวงาม เมื่อนั้นท่านจะแลดูประหนึ่งมีนัยน์ประดับอยู่ทั่วตัว คนทั้งหลายจะพากันเรียกท่านว่า ท้าวสหัสนัยน์ คือผู้มีนัยน์ตาตั้งพัน และเข้าใจว่าที่ท่านมีนัยน์ตารอบตัวเช่นนั้นก็เพื่อคอยสอดส่องดูแลทุกข์สุขของมนุษย์และทวยเทพ จะกลับเป็นเกียรติยศเสียอีกในอนาคต จะวิตกไปใย สิ่งทั้งหลายไม่มีอะไรจะยั่งยืนนาน ทุกสิ่งจะล่วงไปตามกาลเวลา กาลเวลานั้นแลย่อมกลืนกินทุกสิ่งรวมทั้งตัวมันเอง” พระมุนีเฒ่าหยุดพูด หันหลังกลับ มือถือไม้เท้าพรหมทัณฑ์ ค่อยก้าวย่างออกจากประตูอาศรมโดยมิสนใจที่จะหันไปดูผลของการสาปสรรว่าจะบังเกิดแก่องค์อมรินทร์เป็นที่น่าอดสูเพียงใด เพียงแต่พึมพำเบาๆเป็นการอำลาแก่รูปศิลานารีที่สถิตอยู่เบื้องหลังว่า “ข้าสงสารเจ้า อหลยา จงคอยโอกาสของเจ้าเถิด คงอีกนาน กว่าพระเป็นเจ้าจักเสด็จมา… กว่าพระองค์จักเสด็จมา” จากหนังสือ ประภาวดี รวบรวมและเขียนโดย อ.ศักดิ์ศรี แย้มนัดดา พิมพ์ครั้งแรก ๒๕๓๒

ไม่มีความคิดเห็น: