02 สิงหาคม 2551

พระเอกทนต์

พระเอกทนต์ ปรศุราม หรือเจ้ารามผู้ถือขวาน เป็นนามของพราหมณ์ร้ายกาจผู้หนึ่ง ซึ่งเป็นอวตารปางที่ ๖ ของพระวิษณุ หรือ พระนารายณ์ เดิมปราศุรามเป็นคนใจดี มีจริยาวัตรเรียมร้อยงดงาม แต่เมื่อบิดาและมารดาของตนคือพระฤษีชมทัคนี (ชะ-มะ-ทัก-คะ-นี) (๑) และนางเรณุกา ถูกกษัตริย์เกเรชื่ออรชุนฆ่าตาย เจ้ารามโกรธแค้นและเสียใจมาก ประกาศล้างแค้นด้วยใจพยาบาทสาหัส พระศิวะเป็นเจ้าเห็นใจที่เจ้ารามถูกรังแก ทรงประทานเทพศัตราคือ วัชรปรศุ หรือขวานเพชรให้เป็นอาวุธ เจ้ารามจึงมีฤิทธิ์มาก ทำสงครามประหัตประหารอรชุนสิ้นชีวิตแล้วก็ยังไม่สาแก่ใจ ทำการปราบปรามกษัตริย์อื่นๆอีก ๖ ครั้งจนกษัตริย์สิ้นแผ่นดินโลก กิตติศัพท์ความโหดเหี้ยมทารุณของปรศุรามเป็นที่เลื่องลือไปสามโลก ไม่มีใครกล้ากำแหงต่อปรศุรามแม้แต่คนเดียว บรรดาอสูรร้ายกาจทั้งหลายก็หวาดเกรงหลบลี้หนีหน้าไม่กล้าก่อกรรมทำเข็ญแก่ชาวโลกอีกต่อไป วันหนึ่งปรศุรามมีความระลึกถึงองค์พระศิวะผู้เป็นเจ้าใคร่จะเข้าเฝ้าตามวิสัยของผู้จงรักภักดี ก็แต่งตัวโอ่อ่าด้วยทิพยาภรณ์ มือถือขวานเพชรรีบเหาะมายังพิมานมาศของพระอิศวรซึ่งตั้งอยู่บนเขาไกรลาส เมื่อมาถึงหน้าพระวิมานก็รีบเดินเข้าไปยังเขตเทพสถานชั้นใน เพื่อถวายความเคารพ ตามอย่างที่เคยกระทำมาช้านานด้วยความเคยชิน แต่พอจะย่างเท้าก้าวข้ามทวาร นนทีเทพบุตรผู้เป็นขุนวังก็รีบออกมาห้ามประกาศให้ทราบว่าพระมหาเทพมีเทวบัญชาเป็นเด็ดขาดห้ามใครๆเข้าเฝ้าในวันนั้นเพราะเป็นเวลาที่ทรงพระสำราญอยู่ด้วยพระอุมาเทวีในที่รโหฐานชั้นใน ไม่ต้องการให้ใครรบกวน ปรศุรามได้ฟังก็โกรธ ผลักนนทีกระเด็นไปด้วยความหยาบคายเพราะคิดว่าตนเป็นคนโปรดของพระศิวะ ใครจะอวดดีขัดขวางตนไม่ได้ทั้งสิ้นแต่พอจะเข้าไปในพระวิมานเป็นครั้งที่สอง องค์พระศิวบุตรคือพระคเณศผู้มีเศียรเป็นช้างก็ปรากฏองค์ขึ้นขัดขวางในทันที โอรสองค์ใหญ่ของพระตรีศุลียกหัตถ์ขึ้นห้ามอย่างสุภาพและตรัสด้วยไมตรีว่า “ดูก่อนท่านปรศุรามผู้เป็นเสวก(เส-วก) คนสนิทแห่งพระบิดาของเรา ขอทีเถิด อย่าฉุนเฉียววู่วามไปเลย ที่นนทีศวร กล่าวห้ามท่านนั้นถูกต้องแล้ว พระเป็นเจ้าตรัสสั่งไว้จริงๆ วันนี้พระองค์ทรงพระสำราญอยู่ด้วยพระแม่เจ้าภควดี ท่านจงกลับไปก่อนเถิด เราจะกราบทูลพระเป็นเจ้าเองว่าท่านมีน้ำใจมาเยี่ยมในวันนี้” “ท่านก็รู้แล้วมิใช่หรือ พระคณบดี ว่าเราคือใคร” ปรศุรามกล่าวอย่างดื้อดึง “พระศิวะเป็นเจ้าทรงพระเมตตาเรา โปรดให้เราเข้าเฝ้าได้ทุกเมื่อ เรามาแล้ววันนี้ เราก็จะขอเข้าเฝ้าให้ได้ ท่านจงหลีกไปเถิด” “ไม่ได้” พระคเณศตรัสอย่าขึงขัง “เราให้ท่านเข้าไปไม่ได้ พระบิดาทรงมีเทวประกาศิตห้ามเฝ้าเด็ดขาด เราเป็นผู้รับเทพบัญชา ต้องปฏิบัติตาม แม้จะเสียชีวิตเพื่อรักษาเทวโองการ เราก็ต้องยอม” ปรศุรามได้ฟังก็แค้นใจ ความถือตนและความหลงผิดทำให้ลืมตัวตวาดพระเทพกุมารอย่างสิ้นความยำเกรงว่า “ดูดู๋ เจ้าลัมโพทร (๒) ช่างอวดดีนักหนา ตัวเป็นเด็กปากยังไม่สิ้นกลิ่นน้ำนม บังอาจมาขวางเรา เราเป็นผู้มีฤทธิ์ปราบได้ทั่วแผ่นดินโลก เจ้าวิเศษแค่ไหนจึงกล้ามาตอแยยั่วโมโหเราถึงเพียงนี้ เจ้าอวดดีอย่างไร” “ท่านจะว่าอย่างไรก็ตามใจท่านเราไม่ให้ท่านผ่านเด็ดขาด พระคชมุขกล่าวตัดบท “หนอยแน่ เจ้าเด็กน้อย” ปรศุรามเหลืออด ยกมือขึ้นชี้หน้าด้วยแรงโทษะ “หลีกไปเดี๋ยวนี้” “ไม่หลีก” “ก็ให้มันรู้ไป” ปรศุรามปราดเข้าผลักอกพระคเณศเซไป พระคเณศตั้งพระองค์ได้ก็เข้ารับมือกับผู้บุกรุกอย่างแข็งขัน เกิดการสับประยุทธ์ต่อสู้กันอุตลุด ในที่สุดพระคณบดีได้จังหวะเหมาะก็คว้าขาของปรศุรามได้ ทรงรวบรวมพละกำลังเต็มที่จับขาปรศุรามไว้มั่นคงแล้วควงหมุนไปโดยรอบ รวดเร็วราวกับพายุหมุน ทำเอาปรศุรามวิงเวียนหน้ามืดตาลายไปชั่วขณะ แล้วพระคเณศก็เหวี่ยงปรศุรามลงไปนอนกลิ้งอยู่ที่พื้น ปรศุรามลุกขึ้นอย่างรวดเร็วรู้สึกเจ็บไปทั่วร่าง ความแค้นเกิดขึ้นอย่างสุดระงับลืมความรู้สึกผิดชอบทั้งมวล หมายจะล้างชีวิตพระคเณศให้สิ้นไป ก็กระชากขวานเพชรที่เหน็บเอวขึ้นมากวัดแกว่งเป็นประกายวูบวาบราวสายฟ้าแลบ แล้วก็เหวี่ยงไปที่องค์พระคเณศทันที “ตายเสียเถอะเจ้าตัวดี” พระคเณศเห็นขวานเพชรก็ตกใจ จำได้แม่นยำว่าเป็นเทพศัตราของพระอิศวรผู้เป็นบิดา ก็มีความยำเกรงไม่คิดจะต่อสู้ด้วยจะเป็นการหลู่พระเกียรติ และเห็นว่ามิบังควรที่ลูกจะบังอาจต่อต้านแม้อาวุธพ่อ ถึงจะเสียชีวิตเพื่อความกตัญญูก็พึงทำ ชั่วแวบที่คิดได้ พระคณบดีก็ก้มพระเศียรลงคารวะ หลับพระเนตรยอมถวายชีวิตโดยดี ขวานเพชรอันเรืองฤทธิ์ร้ายกาจ ซึ่งปรศุรามเหวี่ยงมาก็กระทบงาเบื้องขวาของพระคเณศเสียงดังสนั่นหวั่นไหวราวฟ้าผ่า ก่อนที่งาข้างหักนั้นจะกระเด็นสู่พื้นโลก พระศิวบุตรก็ยกพระหัตถ์ขึ้นคว้าไว้ได้ทัน ทรงทราบด้วยพระญาณอันเร้นลับว่าแม้งาของระองค์ตกลงสู่พื้นโลกเมื่อใด เมื่อนั้นโลกจะลุกไหม้ในฉับพลัน เสียงเทพศัตรากระทบพระทนต์ ของพระคเณศ ดังกึกก้องราวกับภูเขาไกรลาสจะถล่มทลายทำให้พระศิวะ และพระปารวตีตกพระทัยด้วยกันทั้งคู่ด้วยไม่รู้สาเหตุ รีบเสด็จออกจากพระวิมาน พอทอดพระเนตรเห็นพระโอรสนั่งอยู่บนพื้นพระหัตถ์กำงาเบื้องขวาที่หักสะบั้น น้ำพระเนตรไหลพราก พระเทวีก็ตกพระทัยยิ่งนัก วิ่งเข้ามาสวมกอดพระโอรส ละล่ำละลักถามว่าเกิดอะไรขึ้น เมื่อพระคเณศกราบทูลเรื่องราวจบลง พระอุมาก็แค้นพระทัยนัก หันมาทางปรศุรามซึ่งนั่งหน้าซีดตัวสั่นอยู่เบื้องหน้า ตรัสตวาดว่า “ดูหรือเจ้าพราหมณ์ร้าย โอหังบังอาจเหลือหลาย ทำร้ายลูกข้าแม้เป็นเด็กเป็นเล็กได้ลงคอ เจ้าฝ่าฝืนเทวบัญชาก็นับเป็นโทษหนักอยู่แล้ว ลูกข้าห้ามไว้ยังกลับจะฆ่าแกงเสียอีก เจ้าถือว่าเป็นตัวโปรดของพระศิวะ แม้แต่ข้าเจ้าก็ดูหมิ่น…” “หามิได้พระเจ้าข้า พระแม่เจ้าอย่าทรงเข้าพระทัยผิด ข้าพระบาทไม่กล้าบังอาจ” ปรศุรามรีบก้มกราบและพยายามอธิบาย “หยุดเดี๋ยวนี้ เจ้าคนถ่อย” พระภควดีตรัสเฉียบขาด “ข้าไม่จำเป็นต้องฟังคำแก้ตัวใดๆ ฟังให้ดี ข้าจะสอนเจ้าให้สำนึกว่า” พระเทวีทรงยืนขึ้น ทอดพระเนตรดูปรศุรามอย่างไร้เมตตา ตรัสด้วยน้ำเสียงอันเยือกเย็น เป็นคำสาปสรรที่น่าสะพึงกลัวว่า “ดูก่อนเจ้าพราหมณ์โฉด บัดนี้เรี่ยวแรงของเจ้าจงหมดสิ้น จงนอนนิ่งเป็นท่อนไม้อยู่ที่นี้ตลอดไป จะขยับเขยื้อนแม้แต่นิ้วก็ไม่ได้ แม้นัยน์ตาก็หมดแรงกระพริบ ข้าจะดูทีหรือว่าน้ำหน้าอย่างเจ้าจะแก้ไขอะไรได้” ตรัสเสร็จพระโลกมาตาก็จูงกรพระคเณศเสด็จกลับเข้าวิมานไป ปรศุรามล้มกลิ้งลงนอนแผ่บนลานหิน หมดแรง นอนนิ่งเป็นท่อนไม้เหมือนซากศพที่ถูกทอดทิ้งแต่เดียวดาย พระศิวะทอดพระเนตรปรศุรามด้วยความสังเวชพระทัยยิ่งนัก เสด็จดำเนินเข้ามาใกล้ ก้มพระองค์ลงกระซิบเบาๆที่ริมหูของเสวกผู้เคราะห์ร้ายว่า “ดูก่อนปรศุราม ข้าสงสารเจ้านัก แต่พระเทวีกำลังพิโรธหนัก ข้าไม่อาจจะช่วยอะไรเจ้าได้ตอนนี้ มีผู้เดียวเท่านั้นที่จะช่วยเหลือเจ้าได้คือพระวิษณุ จงสวดสรรเสริญพระองค์แต่บัดนี้ ถึงริมฝีปากเจ้าจะขยับไม่ได้ และเสียงของเจ้าก็เหือดแห้งไปหมดแล้วก็ตาม เจ้าจงตั้งใจมั่นถึงพระองค์เพียงผู้เดียว เมื่อเสียงจากใจเจ้าแล่นไปถึงพระโสตของพระวิษณุ จะเป็นเวลาอีกกี่ร้อยกี่พันปีก็ตาม จงวางใจเถิดว่าพระองค์จะต้องมาช่วยเจ้า ข้าไปละ”
เมื่อพระมหาเทพเสด็จกลับไปแล้ว ปรศุรามผู้ไร้แรงกายแต่มีแรงใจอันแข็งกล้าก็ตั้งจิตมั่น มุ่งกระแสจิตอันเฉพาะองค์พระวิษณุ กล่าวสดุดีในใจติดต่อกันไปบทแล้วบทเล่าโดยไม่หยุดยั้ง เวลาผ่านพ้นไปหนึ่งพันปี กระแสเสียงสดุดีก็ค่อยเลื่อนไหลแผ่ไปในวิศวากาศ และไหลเข้าสู่พระโสตของพระวิษณุผู้บรรทมนิ่งอยู่บนแท่นบัวบาน ภายใต้ชะเงื้อมเศียรตั้งพันแห่งพญานาคเศษะในทะเลน้ำนม ณ สวรรค์อันมีนามว่าไวกูณฐ์นั้น พระวิษณุพลันลืมพระเนตรขึ้นเงี่ยพระโสตฟังเสียงสวดอ้อนวอนขอความช่วยเหลือครู่หนึ่งก็ทรงทราบแน่ชัดด้วยทิพยญาณว่า บัดนี้ปรศุรามผู้เคราะห์ร้ายกำลังวิงวอนขอเมตตาเป็นที่พึ่ง ก็ทรงสงสารและเห็นใจยิ่งนัก ตรัสเรียกพระลักษมีเทวีเข้ามาใกล้แจ้งให้ทราบว่าจะเสด็จไปทำภารกิจโดยด่วนและจะกลับมาในไม่ช้า เมื่อเสด็จมาถึงภูผาเผือกแห่งนั้นแลไปเห็นอุทยานอันร่มรื่นและองค์พระอุมากำลังประทับพักผ่อนสำราญพระทัยอยู่บนพระแท่นมโนราห (มะ-โน-หะ-รา)กำลังร้อยกรองบุปผามาลัยอยู่แต่ลำพัง พระวิษณุก็ทรงแอบที่หลังเหลี่ยมเขา ร่ายพระเวทแปลงเป็นพราหมณ์มานพน้อยอายุราวสิบหกปี รูปโฉมผุดผ่อง เอวบางร่างน้อย ทำทีเป็นเพลิดเพลินชมสวนสวรรค์ มิได้สังเกตเห็นพระภควดี ค่อยเยื้องย่างฟ้อนรำเลียบเคียงใกล้เข้ามา เป็นท่ารำกระบวนฉุยฉายอันอ่อนระทวยนวยนาด เป็นที่จับตาต้องใจแก่ผู้ได้พบเห็นเป็นอย่างยิ่ง สำเนียงเพลงขับและลีลาฟ้อนรำอันงามวิจิตร ทำให้พระบรรพตีต้องเงยพระพักตร์ขึ้นมามอง เมื่อทอดพระเนตรเห็นท่าฟ้อนรำอันงดงามเช่นนั้นก็พอพระทัยยิ่งนัก ดูด้วยความเพลิดเพลินจนพราหมณ์น้อยเยื้องกรายเข้ามาใกล้ พลันเจ้าพราหมณ์เหลือบเห็นพระเทวี ก็ หยุดชะงัก ทำทีตกใจสะดุ้งรีบทรุดตัวลงกราบถวายความเคารพในทันที พระคเณศมาตาจึงตรัสทักทายว่า “ดูก่อนพราหมณ์น้อย เจ้าเป็นใครมาจากไหน จึงหลงเข้าถึงในที่นี่” “ข้าแต่พระแม่เจ้าผู้เป็นมารดาแห่งโลก ข้าพระบาทเป็นคนบ้านนอกไม่รู้ว่าที่นี้เป็นสถานที่หวงห้ามของพระแม่เจ้า จึงหลงเข้ามาเพื่อเดินดูดอกไม้นานาพรรณให้เป็นที่สำราญใจ ข้าพระบาทขอประทานอภัย ขอทรงพระเมตตาด้วยเถิด อย่าทรงลงโทษเลย” “ใครบอกว่าข้าจะลงโทษ” พระภควตีตรัสยิ้ม ๆ “ข้าพอใจน่ะไม่ว่า ข้าชอบกระบวนรำของเจ้านัก ช่างงดงามเสียยิ่งจริงๆ เจ้าทำให้ข้าเพลิดเพลินโดยที่เจ้าไม่มีเจตนาจะฟ้อนถวายข้า แต่ก็ช่างเถิด ข้าพอใจก็ แล้วกันไหนๆเจ้าก็ทำให้ข้าเบิกบานใจอยู่แล้ว ข้าจะให้รางวัลแก่เจ้า จะประสงค์พรอันใดจงบอกมาเถิด” “ข้าแต่พระโลกมาตา พระองค์ตรัสทั้งนี้เป็นพระกรุณาหาที่สุดมิได้ข้าพระบาทเป็นคนมักน้อย หาได้ปรารถนาสิ่งใดเพื่อตัวเองไม่ เอ็นดูก็แต่ปรศุรามผู้สิ้นฤทธิ์นอนแซ่วเป็นท่อนไม้อยู่ที่หน้าพระลานนั่น พราหมณ์โฉดผู้นั้นได้รับทุกเวทนามาช้านานแล้ว น่าจะสมควรแก่โทษานุโทษ ขอพระแม่เจ้าทรงเมตตาเขาเถิด ขอให้กำลังเขากลับคืนมา จะได้เป็นผู้ช่วยเหลือองค์พระมหาเทพปราบปรามเหล่าอสูรที่หยาบช้า ซึ่งบัดนี้กำลังทวีความร้ายกาจขึ้นทุกที เที่ยวก่อความเดือดร้อนแก่เหล่าฤษีชีพราหมณ์ไปทั่วแผ่นดินโลก ที่เป็นดังนี้เพราะมันทราบว่าปรศุราม สิ้นฤทธิ์จึงฮึกเหิมด้วยสิ้นที่ยำเกรง ถ้าพระแม่เจ้าประทานอภัยแก่ปรศุราม พราหมณ์นักรบผู้นี้จะได้ทำหน้าที่อันศักดิ์สิทธิ์ของเขา คือคอยคุ้มครองชาวโลกมิให้ต้องเดือดร้อนเพราะภัยอสูรอีกต่อไป” พระอุมาฟังพราหมณ์น้อยกราบทูลก็สะดุ้งพระทัย ทราบเรื่องโดยตลอดทันที ตรัสยิ้มๆ ว่า “พราหมณ์น้อย ช่างฉลาดนักหนา นึกว่าเรารู้ไม่เท่าทัน ท่านคือองค์พระวิษณุนี่เล่า จึงหลอกเราเล่นได้เช่นนี้ เรานึกเฉลียวใจอยู่แล้วตั้งแต่เห็นท่าฟ้อนรำของท่านทีแรกเพราะงดงามเกิ่นกว่ามนุษย์ใดจะรำได้ ยกเว้นองค์ศิวะผู้ทรงเป็นนัฏราช (๓) เท่านั้น ที่จะรำได้อย่างนี้เอาเถิดไหนๆ เราก็ได้ออกปากว่าจะให้พรแก่ท่านแล้วอย่ากลัวไปเลยว่าเราจะคืนคำเลย เราให้พรแก่ท่านตามที่ขอ ปรศุรามจงได้พลังคืนในบัดนี้” สิ้นถ้อยดำรัสของพระภควดี พลันปรศุรามก็ฟื้นคืนกำลัง ลุกขึ้นอย่างคล่องแคล่ว รีบคลานมาเข้าถวายบังคมขอประทานอภัย พระโลกมาตาตรัสเรียกพระคเณศให้ออกมาถวายการคาราวะแก่พระวิษณุในร่างของพราหมณ์น้อย และตรัสว่า “คเณศวรลูกรัก นี่คือองค์พระนารายณ์ผู้เป็นเจ้า ผู้สถิต ณ สวรรค์ไวกูณฐ์ท่ามกลางเกษียณสาคร ไม่มีเหตุแล้วหาได้ตื่นจากนิทรารมณ์ไม่ พระผ่านฟ้าขอโทษปรศุรามต่อแม่ มีหรือที่แม่จะขัดได้ แม่คืนพลังให้ให้แก่ปรศุรามแล้วบัดนี้มันได้สำนึกผิด เจ้าจงอภัยโทษแก่มันเถิด อย่าโกรธเคืองต่อกันอีกเลย” ทรงหันมาทางปรศุราม ตรัสว่า “พราหมณ์โฉด ข้าอภัยแก่เจ้าเพราะเห็นแก่องค์วิษณุ เจ้าจงกราบขอบพระทัยในพระเมตตาของพระองค์เถิด นอกจากองค์วิษณุแล้ว ใครๆก็หาอาจช่วยเจ้าได้ไม่ นับแต่นี้ เจ้าจงประพฤติตนให้สมควร อย่ากำแหงเกะกะอวดดีเหมือนเช่นครั้งนี้อีก” ปรศุรามกราบถวายความเคารพแด่พระวิษณุเป็นเจ้า แล้วก็คลานเข้าไปกราบบาทพระคเณศ พระศิวะบุตรก็ให้อภัยด้วยใจเมตตา ทันไดนั้นพราหมณ์น้อยก็กลายร่างกลับเป็นองค์พระวิษณุอันงามสง่า มีผิวสีครามประดับพระองค์ด้วยทิพยาภรณ์รุ่งเรืองอันวิจิตร พระอุระปรากฎเครื่องหมายอันเป็นเอกลักษณ์ของพระเป็นเจ้า คือมีนพโรม หรือขนอ่อนขมวดเวียนวนเป็นรูปยันต์ศรีวัตสะ มีสร้อยพระศอชื่อไวชยันตี ห้อยดวงมณีวิเศษชื่อเกาสตุภะเป็นครื่องประดับพระทรวง ทรงวาลัยหัตถ์คือแก้วสยมันตกะอันรุ่งโรจน์ พระหัตถ์ทั้งสี่คือ พระหัตถ์ขวาด้านหน้าทรงถือสังข์ปัญจชันยะ พระหัตถ์ขวาด้านหลังทรงถือจกาชื่อสุทรรศน์ พระหัตถ์ซ้ายด้านหน้าทรงถือดอกบัวบุณฑริก พระหัตถ์ซ้ายด้านหลังทรงถือกระบองเกาโมทกี พระเป็นเจ้าตรัสเรียกปรศุราม และพระคเณศวรให้เข้ามาใกล้ แล้วมีเทวประกาศิตว่า “ปรศุราม เจ้ามีกำลังมากนัก กำลังอำนาจมีมากในบุคคลใดบุคคลนั้นย่อมฮีกเหิมหลงมัวเมาไร้สติ ฉะนั้นข้าจะแบ่งกำลังของเจ้าครึ่งหนึ่งมอบแก่พระคเณศ เป็นของขวัญ เจ้าจะได้มิโอหังบังอาจอีกต่อไป “ดูก่อนศิวบุตร นับแต่นี้ไปท่านจงเป็นผู้มีนามปรากฎว่าเอกทนต์ ผู้มีงาข้างเดียว นามนี้จะเป็นเครื่องประกาศคุณงามความดีของท่านในฐานะลูกผู้กตัญญูต่อบิดาเป็นเลิศ รู้จักรักษาเกียรติของบิดา สู้ยอมบาดเจ็บไม่คิดต่อสู้ด้วยเทพศัตราแม้สู้ได้ก็ตาม อีกประการหนึ่ง ท่านจงได้นามว่า พิฆเณศวร เพราะอาจกำจัดเสียได้ซึ่งอุปสรรคนานาประการ และจงได้นามว่าสิมธิบดี เจ้าแห่งความสำเร็จ ในการประกอบพิธีกรรมทั้งปวงท่านจงเป็นใหญ่เป็นประธาน ผุ้กระทำพิธีกรรมใดๆ ไม่เอ่ยนามท่าน ไม่สวดสรรเสริญท่านก่อน พิธีกรรมนั้นจะไร้ผลเปล่า จะล้มเลิกโดยสิ้นเชิง บุคคลใดสวดสดุดีท่านก่อนทำกิจกรรมใดๆ กิจกรรมนั้นของเข้าจักลุล่วงเป็นผลสำเร็จโดยง่าย นี้เป็นพรอันอุดมที่เรามอบให้แก่ท่าน จงมีเกียรติยศปรากฏไปชั่วฟ้าดินเถิด” ตรัสจบพระนารายณ์เป็นเจ้าก็ อำลาพระบรรพตี เสด็จขึ้นประทับหลังพญาราชปักษิณ อันมีแรงปีกกวักได้ระยะทางครั้งละโยชน์ ลอยละลิ่วหายลับไปในท้องฟ้า กลับคืนสู่ไวกูณฐ์สถานอันเป็นแดนทิพย์มีความสว่างรุ่งเรืองชั่วนิรันดร์ (๗) นัฏราช ราชาแห่งการฟ้อนรำ ,เป็นฉายานามของพระศิวะ ผู้ประสิทธิ์ประสาทวิชาการฟ้อนรำเป็น ครั้งแรกแก่โลกและสวรรค์ จากหนังสือ อุลูปี โดย อ.ศักดิ์ศรี แย้มนัดดา พิมพ์ครั้งแรก พ.ศ. ๒๕๓๔

ไม่มีความคิดเห็น: