02 สิงหาคม 2551

ศวรี

ศวรี พญาคนธรรพ์ชื่อ จตรกวจะ (จิด-ตระ-กะ-วะ-จะ) มีธิดาแต่เพียงนางเดียวชื่อ มาลินี เป็นผู้มีความงามราวกับพระศรี เป็นที่เสน่หาของหนุ่มๆคนธรรพ์ทั้งหลาย แต่ราชาแห่งคนธรรพ์มิได้ยกนางให้แก่ใครเพราะเห็นว่าไม่มีคุณสมบัติเพียงพอ จวบจนกระทั่งฤษีหนุ่มผู้หนึ่งเดินทางมาสู่สำนัก เขามีนามว่า วีติโหตร (วี-ติ-โห-ตระ) เป็นนักศึกษาผู้เฉียบแหลมมีสติปัญญาลึกซึ้ง และชำนาญในพระเวททั้งสี่ พญาคนธรรพ์มีความพอใจในคุณวุฒิของเขายิ่งนัก ชักชวนให้เขาพำนักอยู่ด้วย และยอมยกธวิดาสุดที่รักให้เป็นคู่ครองของยุวดาบสด้วยความเต็มใจ เวลาผ่านไปดาบสหนุ่มผู้เรืองเวทเอาแต่เข้าฌานเพ่งเล็งอาตมันเป็นที่ตั้ง มีใจแน่วแน่มั่นคงในพระผู้เป็นเจ้า มิได้เอาใจใส่ในภรรยาของตนเท่าที่ควร ทำให้มาลินีรู้สึกว้าเหว่เพราะถูกทอดทิ้ง ยิ่งนานวันก็ยิ่งเหลือจะทนทาน ในที่สุด นางก็หันไปหาหนุ่มชาวเขาผู้หนึ่ง และมีความภิรมย์ยินดีด้วยคู่รักใหม่ ละเลยการปรนนิบัติสามีบ่อยๆจนผิดสังเกต ในที่สุดวีติโหตรก็จับได้ โยคีหนุ่มแยกนางมาบริภาษและกล่าวคำสาปว่า “นี่แน่ นางใจบาป เจ้ากล้ากระทำความชั่วช้าลับหลังเรา คิดว่าเราเป็นเต่าตุ่น ไม่รู้ไม่เห็นกระนั้นหรือ ดีละ เมื่อเจ้าเห็นว่าเจ้าหนุ่มชาวป่านักล่าสัตว์คนนั้นเป็นที่ปรารถนาของเจ้านักหนา เราก็จะให้เจ้าได้สมใจปรารถนาจริงๆ เจ้าจงกลายเป็นนางนิษาท หญิงชาวป่าที่ต่ำศักดิ์ สาธารณ์มีชีวิตอยู่ด้วยความยากไร้ เป็นที่ดูถูกเหยียดหยามของคนในวรรณะทั้งปวงนั้นแล” สิ้นคำสาปสรร ธิดาคนธรรพ์ผู้มัศักดิ์สูงส่งก็กลายเป็นหญิงในวรรณะต่ำทราม เป็นชาวป่าล่าสัตว์ที่แต่งตัวรุงรังสาปรกน่ารังเกียจไปทันที มาลินีโแมงามร้องกรีดด้วยความอับอาย ยกมือปิดหน้าคร่ำครวญด้วยความเสียใจและวิ่งหนีเข้าป่าไป ก่อนที่จะลับกายหายเข้าป่าทึบหูของนางได้ยินแสียงแว่วๆจากสามมีว่า นางจะพ้นคำสาปในวันหนึ่งข้างหน้าเมื่อพระวิษณุเป็นเจ้าเสด็จอวตารมาเป็นพระรามจันทร์และความผิดบาปของนานจะถูกชำระให้บริสุทธิ์ด้วยพระวาจาแห่งพระเป็นเจ้าพระองค์นั้น มาลินีในสภาพของหญิงนิษาทชื่อ ศวรี เที่ยวเซซังไปในป่าใหญ่อย่างไร้จุดหมาย กระทั่วในที่สุด มาถึงสำนักใหญ่ของนักบวชพวกหนึ่งซึ่งมีอาจารย์เจ้าสำนักเป็นมหาฤษี มีชื่อเสียงยิ่งใหญ่คือ พระมาตังคมหามุนี ศวรีผู้อ่อนเพลียทั้งร่างกายและจิตใจค่อยก้าวเข้าสู่เขตอาศรมซึ่งหอมหวนชื่นใจด้วยกลิ่นดอกไม้นานาพรรณ อันมีลักษณะพิเศษแตกต่างจากดอกไม้ทั้งหลายในโลก เพราะได้รับพรจากพระมาตังคมุนีในอดีตกาล เรื่องมีว่า ในสมัยโบราณครั้งหนึ่งนางดาบสผู้เป็นสานุศิษย์รับใช้พระมาตังคะ ได้ไปเก็บดอกไม้นานาชนิดในป่ามาถวายแด่พระมุนี เพื่อการบูชาพระผู้เป็นเจ้า ระหว่างที่ช่วยกันหาบหามดอกไม้กองใหญ่มานั้น เหงื่อของนางดาบสทั้งหลายได้หยดลงบนพื้นดิน เพราะความร้อนและความเหน็ดเหนื่อย และด้วยอำนาจตบะของพระมุนี บันดาลให้เกิดเป็นต้นไม้ใหญ่น้อยและเครือเถาลดาวัลย์ขึ้นทั่วบริเวณนั้น ผลิดอกบานสะพรั่ง ส่งกลิ่นอบอวลยวนใจยิ่งนัก พระมาตังคะได้เห็นความอัศจรรย์ดังกล่าว จึงอวยพรให้บุปผานานาพรรณอันเกิดจากหยดเหงื่อของนางดาบสมีความคงทนยั่งยืน ไม่มีวันโรยรา มีสภาพดังดอกไม้ทิพย์ในสวรรค์ ศวรีเข้าไปสู่มาตังคาศรมและขอบวชในสำนักพระมหามุนี ได้ศึกษาและเล่าเรียนธรรมะขัดเกลาจิตใจให้สะอาดบริสุทธิ์ และอุทิศตนเพื่อการบวชอย่างจริงจัง จนพระมาตังคมุนียอมยกย่องในวัตรปฏิบัติของนาง ตั้งให้นางเป็นดาบสินี มีหน้าที่ดูแลพรรณไม้ทิพย์ และช่วยเหลือฤษีทั้งหลายในการทำพิธีต่างๆ กาลเวลาล่วงไปหลายพันปี ในที่สุดก็ถึงเวลาที่พระมาตังคมุนีและบริวารผู้ปฏิบัติธรรมอย่างยิ่งยวดจนบรรลุโมกษะ จะละสังขารไปสู่ความเป็นทิพย์นิรัตดรในสวรรค์ พระมาตังคมหาฤษีจึงกล่าวอำลาต่อนางว่า “ดูก่อนศวรี พวกเราจะละโลกนี้ไปสู่สวรรค์แห่งพระวิษณุแล้ว เราของใจเธอที่ได้รับใช้ปรนนิบัติเราด้วยดีตลอดมา เธอย่าเศร้าเสียใจว่าเราไปแล้วเธอจะขาดที่พึ่ง จะถูกทอดทิ้งอยู่แต่ผู้เดียวเลย เวลาแห่งอิสรภาพของเธอจวนจะมาถึงแล้ว จงอดทนต่อไปอีกสักหน่อย พระรามผู้เป็นเจ้าจวนจะเสด็จมาถึงแล้ว จงคอยถวายการต้อนรับพระองค์ให้ดีเถิด พระองค์จะโปรดให้เธอพ้นทุกข์ในที่สุด บัดนี้ ก่อนที่เราจะจากไปเราขออวยพรแก่เธอ ขอให้เธอจงเป็นผู้มีตาทิพย์ สามารถแลเห็นทุกสิ่งทุกอย่างแม้ในที่ซ่อนเร้นใดๆ และจงแลเห็นอดีต ปัจจุบัน และอนาคต เป็นผู้ได้ชื่อว่า ตริกาลัญชะ (ผู้รู้กาลเวลาทั้งสาม )เถิด”
เมื่อเหล่าฤษีจากไปแล้ว ศวรีก็ยังคงพำนักอยู่ ณ อาศรมมาตังคะต่อไป ในเวลานั้น พระรามและพระลั่กษมณ์ กำลังเสด็จติดตามหานางสีดาซึ่งถูกท้าวราพณาสูรลักพาตัวไป วันหนึ่ง กษัตริย์ทั้งสองพระองค์เสด็จมาถึงอาศรมของพระกพนธมุนี ได้รับการต้อนรับฉันมิตรไมตรี และพำนักอยู่ชั่วระยะหนึ่งแล้วก็ออกเดินทางต่อ พระมุนีได้ตามาส่งเสด็จและชี้ทางให้ติดตามพระชายาต่อไป “โอ้ รามะ” พระฤษีเฒ่ากล่าว จงเสด็จไปตามทางสู่ทิศตะวันตกนี้เถิด พระองค์จะได้พบอาศรมในอุทยานอันงามราวสวนสวรรค์ของพระอินทร์ มีชื่อว่า มาตังคาศรม ครั้งหนึ่งพระมาตังคมุนีและบริวารเคยพำนัก บัดนี้พระฤษีเหล่านั้นได้ละสังขารไปสู่พิษณุโลกแล้ว ยังคงเหลือแต่นางดาบสชื่อศวรี ดูแลสถานที่นั้นอยู่ บัดนี้ศวรีได้บรรลุธรรมชั้นสูงแล้วและจะถึงโมกษะความหลุดพ้นในมิช้า นางกำลังคอยพระองค์อยู่ เมื่อได้เผ้าพระองค์แล้ว นางก็จะพ้นคำสาป และได้ขึ้นสวรรค์ โอ พระราฆพ” พระรามและพระลักษมณ์เสด็จมาถึงมาตังคาศรมเป็นเวลาใกล้เที่ยงวัน เมื่อเข้าสู่บริเวณอาศรมอันร่มรื่นและหอมหวนด้วยกลิ่นบุปผานิรันดร ณ ที่นั้น ก็ได้พบศวรี ซึ่งเฝ้าคอยอยู่ นางรีบกุลีกุจอนำน้ำบริสุทธิ์มาถวายกัษตริย์ทั้งสองให้ทรงบ้วนพระโอษฐ์ และถวายน้ำชำระพระบาทตามธรรมเนียม แล้วก้มลงกราบพระบาทของพระรามจันทร์ผู้เป็นเจ้าด้วยความเคารพและศรัทธาอันสูงสุด ทูลว่า “ข้าแต่พระโลกนาถผู้ทรงเมตตาธิคุณอันล้ำเลิศ ข้าพระบาทได้บำเพ็ญพรตคอยพระองค์อยู่ ณ ที่นี้เป็นเวลาหลายพันปีแล้ว บัดนี้ พระองค์ก็ได้เสด็จมาถึง บาปกรรมของข้าพระบาทจะสิ้นสุดลงในวันนี้เป็นแน่แท้ และจะได้เป็นอิสระพ้นจากคำสาปในที่สุด ขอพรองค์ได้ทรงโปรดยกความผิดความบาปของข้าพระบาทด้วยเถิด” พระรามจันทร์ทรงแย้มพระสรวลด้วยความเมตตา เอาพระหัตถ์มาวางบนศีรษะของนางพลางตรัสว่า “ ศวรีเอ๋ย เจ้าได้บำเพ็ญตบะมาช้านาน มุ่งกุศลผลบุญเป็นที่ตั้ง จนจิตใจของเจ้าบริสุทธิ์ผุดผ่อง นับว่าได้ประพฤติปฏิบัติตนในทางที่ถูกที่ควรแล้ว เราขอให้เจ้าพ้นคำสาปสรรทั้งปวง และถึงโมกษะคือความหลุดพ้นทุกข์ชั่วกัลปาวสาน จงมีความสุขตลอดไป ไม่รู้วันสิ้นสูญเหมือนดังดอกไม้ทั้งหลายในวนาศรมแห่งนี้เถิด” ด้วยประกาศิตของพระผู้เป็นเจ้า ศวรีก็ถึงอิสรภาพอันสมบูรณ์และบรรลุชีวันมุกติ ถึงความหลุดพ้นชั่วนิรันดร เมื่อประทับพักผ่อนพอสมควรแก่เวลาแล้ว พระรามและพระลักษมณ์ก็อำลานางออกเดินทางต่อไป ศวรีได้นำเสด็จมาถึงทางสองแพร่ง ชี้ทางที่จะดำเนินไปและกราบทูลว่า “ข้าแต่กพระจอมอโยธยา ข้าพระบาทจะต้องอำลาพระองค์ ณ ที่นี้แล้ว ขอจงเสด็จไปตามทางมุ่งสู่ทิศใต้นี้เถิด เมื่อเสด็จตามทางนี้ไปไม่นานจะบรรลุถึงทะเลสาบ อันมีชื่อว่า ปัมปา มีน้ำเขียวใสดังมรกต และมีทัศนียภาพงดงามยิ่งนัก เมื่อเสด็จเลียบชายฝั่งไปยังฟากโน้นแล้ว จะถึงภูเขาสูงชื่อ ฤษยมูกะ ณ ยอดเขานั้นพระองค์จะได้พบกับพญาวานร ชื่อ สุครีพ เขาผู้นี้แลจะเป็นพันธมิตรสำคัญของพระองค์ และด้วยกำลังวานรอันเกรียงไกรของพญาสุครีพ พระองค์จะได้ติดตามข้ามฝั่งมาหาสมุทรทางทิศใต้ไปทำศึกกับท้าวทศเศียรที่เกาะลังกา เพื่อชิงพระแม่เจ้าสีดากลับคืน โอ้ พระพิษณุพงศ์ การสงครามอันโหดร้ายนั้นจะยืดเยื้อถึงสิบสองปี ข้าพระบาทแลเห็นโดยตลอด ทั้งสองฝ่ายจะถูกฆ่าฟันล้มตายในสมรภูมิ ครั้งแล้วครั้งเล่า จะประมาณชีวิตมิได้ พระองค์จะได้รับความลำบากแสนสาหัส แต่อย่าทรงท้อพระทัย หรือเศร้าเสียพระทัยเลย อธรรมจะต้องพ่ายแพ้แก่ธรรมะในที่สุด ถึงแม้พญาราพณาสูรจะมีฤทธิ์ร้ายกาจ และอยู่ยงคงพระพัน อาวุธใดๆไม่อาจทำอันตรายได้ก็จริง แต่พรองค์ก็จะทำลายชีวิตมันได้แน่นอน” นางหยุดอยู่ครู่หนึ่งจึงก้มศีรษะลงทูลกระซิบ เหมือนเกรงบุคคลใดจะแอบได้ยินว่า “แต่เรื่องนี้อย่าได้กังวลพระทัยเลย พระอคัสตยมุนี โอรสแห่งพระวรุณเทพเจ้า จะช่วยเหลือพระองค์เอง พระมุนีผู้เฒ่าจะสอนมนตร์ชื่อ อาทิตยหฤทัย แด่พระองค์ และมนตร์อาทิตยหฤทัยนี้แล คือมนตร์ปลิดชีวิตพญารากษสร้าย เมื่อพระองค์ร่ายมนตร์บทนี้พร้อมกับแผลงศรพรหมาสตร์ไป อวสานของทศกัณฐ์ก็มาถึง ข้าพระบาทขอทูลลาบัดนี้” กล่าวจบ นางผู้มีพรตอันสมบูร์พร้อมก็ก้มลงกราบแทบพระบาทของพระรามและพระลักษมณ์ แล้วหันหลังกลับ ทันใดนั้น บุษบกทองคำอันมีรัศมีสุกสว่างก็ลอยลงมาจากฟ้า ศวรีก้าวขึ้นสู่ทิพยยานอันงามวิจิตร ค่อยลอยเลื่อนขึ้นสู่ท้องฟ้า หายลับไปยังไวกุณฐสถานอันเป็นสวรรค์แห่งพระวิษณุเป็นเจ้า ซึ่งเป็นแดนบรมสุขตลอดกาล จากหนังสือ หริศจันทร์ รวบรวมโดย อ. ศักดิ์ศรี แย้มนัดดา พิมพ์ครั้งแรก ๒๕๓๓

ไม่มีความคิดเห็น: