02 สิงหาคม 2551

อโศกสุนทรี

อโศกสุนทรี
อโศกสุนทรี ครั้งหนึ่ง ในอดีตกาลนานนับประมาณมิได้ พระศิวะเป็นเจ้าประทับสำราญด้วยพระโลกมาตาอุมาไหมวตี ในพระวิมานบนยอดเขาไกรลาส พระเทวีตรัสปรารภความปรารถนาต่อองค์พระสวามีว่า “ข้าแต่จอมบดี หม่อมฉันเบื่อที่จะอยู่ในวิมานมาศนี้เต็มทีแล้ว เวลานี้ก็เข้าฤดูวสันต์ ดอกไม้ป่าบานสะพรั่งทุกหนทุกแห่ง น่าดูน่าชมนัก เราไปเที่ยวเล่นกันให้เพลินใจดีกว่า” พระมหาเทพทรงโอบอุ้มพระมหาเทวีขึ้นวางบนพระเพลา ตรัสเอาใจว่า “จะเป็นไรไปเล่า ถ้าเจ้าปรารถนา เราจะพาเจ้าไปทุกหนทุกแห่งในสากลกพิภพตามที่เจ้าต้องการ” พระปารวตีทรงแย้มยิ้มด้วยถูกพระทัย ตรัสอย่างรื่นเริงว่า “ดีละ หม่อมฉันอยากจะไปเที่ยวในที่ซึ่งสวยงามที่สุด ซึ่งพระองค์ยังไม่เคยพาหม่อมฉันไป ทรงทราบหรือไม่ว่ายังมีวนาลีแห่งใดที่งามยิ่งกว่าสวนสวรรค์ของวัชรินทร์ เพริศพรายยิ่งกว่าสวนขวัญของท้าวกุเวรที่นครอลกา และตรึงใจให้ฝันหาเหมือนอุทยานแห่งเหมกูฏคีรีขององค์กัศยปเทพบิดร ยังจะมีสถานที่ใดในสามภพที่จะงามประเสริฐยิ่งไปกว่านี้อีกเพคะ” “มีสิ” พระจอมไกรลาสทรงแย้มพระสรวล “เท่าที่เรารู้แก่ใจ ยังมีที่อีกแห่งหนึ่งที่เจ้าไม่เคยรู้จัก ที่นั่นคือสวนขวัญอันพระพรหมธาดาทรงสร้างไว้ตั้งแต่ครั้งปฐมบรมกัปป์ เป็นที่อันหวงห้ามแม้เทพยดาทั้งหลายก็มิอาจกล้ำกราย เราจะพาเจ้าไปที่นั่น ไปกันเถอะ” ตรัสเสร็จ พระไตรศุลีอุ้มพระมรเมศวรีแนบพระอุระ เสด็จประทับบนหลังพญาโคเผือกอันเป็นพาหนะ ลอยลิ่วไปในอากาศชั่วพริบตา เพียงชั่วอึดใจเดียวก็มาถึงนันทนวัน อันงามวิจิตรสุดพรรณนาประหนึ่งดินแดนแห่งความฝัน พระศิวะเป็นเจ้าทรงพาพระเคารีเที่ยวชมสถานถิ่นโดยรอบด้วยความเพลิดเพลิน จนในที่สุดมาถึงเนินเตี้ยเชิงเขาใหญ่ มีต้นไม้ต้นหนึ่ง ลำต้นสูงระหงแผ่กิ่งก้านสาขาออกไปโดยรอบเป็นช่อชั้นลดหลั่นดังคันฉัตร มีใบเขียวสะพรั่งทุกกิ่งก้านเลื่อมพรรณรายดังแววหางนกยูง และผลิดอกขาวอร่ามสดใดดังแก้วมุกดา พระอุมาเทวีทรงประหลาดพระทัยต่อภาพที่เห็นจนอดปรารภมิได้ “ต้นอะไรกันนี่ งามประหลาดดี ไม่เคยเห็น” “นี่คือต้นกัลปพฤกษ์ เป็นพฤกษาสวรรค์ที่ทรงความมหัศจรรย์เป็นยอดยิ่ง” พระปรเมศวรทรงอธิบาย “เป็นอย่างไรเพคะ” “ต้นไม้นี้เป็นต้นไม้สารพัดนึก ย่อมอำนวยทุกสิ่งแก่ผู้ขอตามใจปรารถนา” “จริงหรือเพคะ ถ้ากระนั้นหม่อมฉันจะลองตั้งความปรารถนาดู” พระเทวีทรงยิ้มแย้มด้วยความพอพระทัย และตรัสลองเชิง “ดีละหม่อมฉันต้องการได้ลูกสาวคนหนึ่ง พระองค์ก็ทรงทราบดีว่าหม่อมฉันมีแต่ลูกชายคือ พระคเณศ กับสันทกุมารเท่านั้น ถ้าต้นไม้นี้มีคุณพิเศษ ดังที่ตรัสจริงก็ขอให้อำนวยพรแก่หม่อมฉัน ให้หม่อมฉันได้ลูกสาวตามปรารถนาสิเพคะ” ทันใดที่สิ้นดำรัส กุมารีน้อยน่ารักผู้หนึ่งก็ปรากฏขึ้นในอ้อมพระกร พระโลกมาตาสุดแสนโสมนัส ตระกองกอดธิดาแนบพระอุระ และตรัสอย่างดีพระทัยว่า “สำเร็จแล้ว หม่อมฉันได้ลูกหญิงสมใจคราวนี้เอง ไม่นึกเลยว่าจะได้ดังใจปรารถนา” “เจ้าจะตั้งชื่อลูกสาวว่ากระไร” “หม่อมฉันจะตั้งชื่อลูกว่า อโศกสุนทรี “พระเทวีตรัสหนักแน่น “หม่อมฉันจะรักและเลี้ยงดูอโศกสุนทรีอย่างดีที่สุด” กาลเวลาผ่านไป อโศกสุนทรีเติบโตเจริญวัยเป็นสาวรุ่นงดงามดังเทพอัปสร เป็นที่สนิทเสน่หาของพระโลกมาตายิ่งนัก วันหนึ่ง พระเทวีทรงเรียกนางเข้ามาเฝ้าตรัสด้วยความห่วงใยว่า "อโศกสุนทรีลูกรัก ขึ้นชื่อว่าสตรีย่อมจะมีสามีเป็นที่พึ่งเป็นคู่ชีวิตด้วยกันทั้งนั้น ลูกของแม่ก็เช่นเดียวกัน วันหนึ่งจะต้องจากแม่ไปอยู่กับสามีแน่นอน เจ้าจงเตรียมตัวเตรียมใจของเจ้าแต่บัดนี้ กาลอนาคตจะต้องมาถึงในไม่ช้า แม่จะแจ้งชีวิตในภายหน้าให้เจ้าทราบ สามีของเจ้าคือ พระราชาองค์ที่สามแห่งจันทรวงศ์นามว่า นหุษ จักได้เป็นพระจักรพรรดิเจ้าโลก เป็นใหญ่ทั้งในแผ่นดินและสวรรค์ ตัวเจ้าเองจะมีบุตรชายทรงอำนาจเกรียงไกรในสากลโลก สืบตระกูลเป็นหลายสาย ล้วนเป็นสกุลอันยิ่งใหญ่ แม้องค์พระวิษณุเจ้าก็จะทรงอวตารลงไปกำเนิดในสกุลของเจ้าใน ทวาปรยุค อันเป็นปางที่แปดของพระองค์ หลังจากนั้นเมื่อเข้าสู่กลียุค ก็จะถึงความเสื่อมสูญไปตามวิสัยของโลก ตัวเจ้าจะมีความสุขกับสามีจนมีลูกด้วยกัน หลังจากนั้นความวิบัติพลัดพรากจะมาสู่เจ้า เพราะสามีเจ้าเป็นต้นเหตุ ความพลัดพรากดังกล่าวนี้จะกินเวลาหลายหมื่นปี กว่าจะได้พบกันอีก แต่ว่าเหตุการณ์ภายหน้ายังอยู่อีกไกล อย่างเพิ่งเป็นกังวลใจเลย ชีวิตก็เป็นเช่นนี้ มีสุขแล้วก็มีทุกข์ ความความสมหวังก็มีความผิดหวังเป็นของคู่กัน จะยึดถือเป็นจริงจังอะไรนักหนา” หลังจากวันที่เข้าเฝ้าพระโลกมาตาไม่นาน วันหนึ่ง อโศกสุนทรีพร้อมด้วยเทพบริวารพากันไปเที่ยวเล่นในสวนขวัญนันทนพน ขณะที่กำลังเพลินอยู่ก็ได้พบกับอสูรหนุ่มชื่อ หุณฑะ ซึ่งเป็นโอรสของพญาเทตย์วิประจิตติ หุณฑะเห็นความงามพิลาสของนางก็เกิดความรักลุ่มหลงทันที จึงเข้าไปเกี้ยวพาราสี และอ้อนวอนให้นางเป็นภรรยาของตน อโศกสุนทรีตกใจรับกล่าวปฏิเสธและเผลอบอกความลัยอันกำหนดชะตากรรมของนางว่านางมีคู่หมายแล้ว และจะต้องแต่งงานกับกพระราชานหุษตามเทวประกาศิตขององค์พระปารวตี หุณฑะได้ฟังก็หัวเราะด้วยความขบขัน กล่าวว่า “เธอไม่รู้หรอกหรือว่า ชายชื่อนหุษนั้นยังมิได้เกิดมาในโลกนี้เลย กว่าเขาจะเกิดและโตเป็นหนุ่ม เธอก็แก่แล้ว อายุของเธอกับเขาต่างกันมาก เธอจะเสียเวลาคอยเขาทำไม ไปกับเราเถิด เรารักเธอและจะภักดีต่อเธอตลอดไป จงเชื่อใจเราเถิด” อโศกสุนทรีได้ฟังก็โกรธ ปฏิเสธอย่างไม่มีเยื่อใย และขับไล่พญาอสูรไปทันที หุณฑะก็อันตรธานไปจากที่นั้น แล้วแปลงกายกลับมาเป็นนางดาบสินีนุ่งห่มผ้าเปลือกไม้ มีกิริยานอบน้อมเรียบร้อยน่าเชื่อถือเข้ามาหานางและแจ้งว่าเป็นภรรยาของฤษีตนหนึ่ง อาศัยอยู่ป่าริมแม่น้ำคงคา สามีของนางถูกหุณฑะฆ่าตาย และบัดนี้นางกำลังทำพิธีถือศีลอดอาหารบำเพ็ญตบะ เพื่อจะสร้างอำนาจให้แข็งแกร่งจักได้ลงโทษแก้แค้นอสูรร้ายให้สาสม นางโยคินีได้ขอร้องให้อโศกสุนทรีไปเยี่ยมอาศรมของนาง เป็นการแสดงอัธยาศัยไมตรีจิตต่อกัน อโศกสุนทรีหลงเชื่อถ้อยคำก็ตกลงใจไปด้วย ในที่สุด เมื่อเดินมาถึงเขตวนาศรม ภาพที่แลเห็นก็เปลี่ยนไป วนาศรมอันร่มรื่นกลับกลายเป็นวังโอ่อ่าของอสูรหุณฑะ และนางโยคินีก็กลายร่างเป็นเจ้าของวังไปทันที หุณฑะพยายามปลุกปล้ำและลวนลามนาง หวังจะบังคับให้ยอมเป็นภรรยา แต่อโศกสุนทรีต่อสู้ดิ้นรนเต็มที่เอาตัวเองหนีรอดมาได้และด่าว่าด้วยประการต่างๆพร้อมสำทับว่า “ดีละ เจ้าบังอาจข่มเหงข้า ไม่เกรงกลังอาชญาของพระแม่เจ้า ข้าจะไปฟ้องพระแม่เจ้าให้ทรงทราบ ดูทีหรือว่าเจ้าจะได้รับโทษสถานใด”
หุณฑาสูรได้ฟังก็ตกใจ ไม่อาจจะสู้หน้าต่อไปได้อีก เพราะเกรงความพิโรธของพระทุรคาเทวี ซึ่งเป็นทีทราบกันดีว่ามีความร้ายกาจเพียงไรจึงรีบอันตรธานไปจากที่นั่น อโศกสุนทรีพร้อมด้วยบริวารก็รีบกลับเขาไกรลาส แต่ด้วยน้ำใจอันเมตตาปรานีของนาง ไม่ประสงค์จะก่อเวรต่อผู้ใดนางก็เก็บเงียบหาได้กราบทูลองค์ปรเมศวรีให้ทรงทราบไม่ แต่อสูรหุณฑะหาได้หยุดยั้งความปรารถนา ยังคิดถึงนางอยู่เสมอและคอยโอกาสที่จะทำร้ายราชานหุษผู้ที่จะมาเป็นสามีของนางตามเทวประกาศิตอยู่ ฝ่ายพระเจ้าอายุสแห่งจันทรวงศ์ ผู้เป็นโอรสของปุรูรวัสกับนางอัปสรอุรวศี ครองราชสมบัติในกรุงหัสตินาปุระมาช้านาน หาได้มีโอรสและธิดาไม่ พระราชาทรงเดือดร้อนกังวลพระทัยยิ่งนัก วันหนึ่ง พระราชาเสด็จไปสู่วนาศรมแห่งพระมหาฤษีทัตตาไตรย ผู้มีนามบันลือว่าเป็นผู้ทรงฤทธานุภาพยิ่งใหญ่ สามารถอำนวยความปรารถนาของบุคคลต่างๆให้สำเร็จผลได้ทุกผู้ทุกนาม พระราชาทงมุ่งหวังในโอรสทุกขณะจิต เข้าไปกราบนมัสการพระมหามุนี ในขณะที่พระเทพฤษีกำลังมึนเมาด้วยสุรา มีเนตรอันแดงก่ำมีหญิงหนึ่งนั่งอยู่บนตัก และพระมหาฤษีนั้นเล่าก็ตกแต่งร่างกายพิกลกว่าฤษีทั้งหลายกล่าวคือ มีกายอันชะโลมด้วยผงจันทน์แดงอันหอมฟุ้ง มีบุปผามาลัยสรววค์ประดับศรีษะ และแขนทั้งสองสวมสร้อยแก้วมุกดาอันมีแสงมลังเมลืองแวววาว พระฤษีปรือเนตรอันแดงก่ำมองดูพระจักรพรรดิแวบหนึ่ง แล้วก็เมินหน้าหลับตาเข้าสู่ฌานทันทีเหมือนไม่ไยดีต้อนรับ อาสุยราชาก็มิได้ย่อท้อ ทนนั่งเฝ้าอยู่เป็นเวลาถึง ๑๐๐ ปี ในที่สุดพระมุนีออกจากฌานลืมตาขึ้นครั้งหนึ่งถามว่า “อารยบุตร ท่านมาเฝ้าคอยเราอยู่ทำไม ท่านจะปรารถนาอะไรจากเรา ท่านไม่เห็นหรือว่า เราหาใช่พราหมณ์ หาใช่ฤษีไม่เราได้ละความเป็นพราหมณ์ความเป็นโยคีแล้ว เรากำลังเพลิดเพลินด้วยอิสตรี น้ำเมา และอาหารอันปรุงด้วยเนื้อสัตว์ ผิดวิสัยฤษีและพราหมณ์ผู้ใดจะพึงกระทำ เรามิใช่บุคคลอันใครๆจะพึงนอบน้อมกราบไหว้ ท่านจงไปหาพราหมณ์และฤษีอื่นที่พร้อมด้วยศีลเถอะ อย่าเสียเวลาด้วยเราเลย” พระราชาคลานเข้าไปกราบบนเท้าของพระทัตตาไตรยด้วยความเคารพและเกรงกลัว กล่างด้วยความสำรวมว่า “ข้าแต่พระคุณเจ้า ข้าพเจ้าทราบดีว่าภาพที่เห็นนี้เป็นแต่ภาพมายาเท่านั้นดอก ภาวะอันแท้จริงของพระคุณเจ้าคือพระเทพฤษี อันองค์พระวิษณุเป็นเจ้าอวตารมาเกิด เป็นโอรสของพระอัตริมุนีและอนสูยาเทวี ตามคำมั่นสัญญา ข้าแต่พระผู้เป็นเจ้า ขอได้โปรดอนุเคราะห์แก่ข้าพระบาทด้วยเถิด” “ท่านจะให้เราช่วยเรื่องอะไร” พระทัตตาไตรยถามยิ้มๆ “ข้าพระบาทเป็นผู้ไร้โอรสสืบตระกูลวงศ์ ขอพระองค์ประท่านโอรสอันมีเกียรติรุ่งเรืองแก่ข้าพกระบาทด้วยเถิดพระเจ้าข้า” “เอาเถิด เราจะให้ท่านได้สมปรารถนา อีกไม่นาน พระนางอินทุมตีมเหสีของท่านจักมีครรภ์ และประสูติโอรสผู้มีเดชเกรียงไกรนามว่า นหุษ จงมีความสุขสำราญใจเถิด อย่าได้อาวรณ์ในเรื่องนี้เลย” พระราชาเสด็จกลับคืนพระนคร มีใจอันเอิบอิ่มด้วยปิติ ต่อมาพระนางอินทุมตีทรงมีกพระครรภ์และเมื่อครบกำหนดก็ประสูติพระโอรสรูปงาม เป็นที่รักของพระบิดามารดาดังแก้วตาดวงใจ พระราชาประท่านนามโอรสว่า นหุษ ฝ่ายอสูรหุณฑะ ผู้เฝ้าคอยหาโอกาสจะทำลายล้างนหุษอยู่ทุกขณะจิต ไอ้โอกาสวันหนึ่ง ขณะที่พี่เลี้ยงของพระกุมารออกจากห้องไปทำธุระอื่นครู่หนึ่ง อสูรหุณฑะก็แปลงร่างเป็นพี่เลี้ยงอุ้มพระกุมารออกไปเดินเล่น พอสบช่องก็แอบหนีออกจากวัง ตรงไปยังวังของตนส่งพระกุมารให้นางวิปุลา และสั่งให้เอากุมารไปทำเนื้อตุ๋นให้ตนกิน นางวิปุลาส่งกุมารให้หญิงแม่ครัวแต่หญิงแม่ครัวเห็นนหุษกุมารมีความน่ารักก็เกิดความสงสารไม่อาจจะฆ่าได้ จึงเอากุมารห่อผ้าเล็ดลอดออกจากวังไปวางไว้ที่หน้าประตูอาศรมของพระวสิษฐ์พรหมฤษี แล้วกลับมาทำเนื้อแกะตุ๋นส่งไปให้พญาอสูรแทน เช้าวันรุ่งขึ้น พระฤษีวสิษฐ์เปิดประตูอาศรมจะออกไปสวนมนต์บูชาอุษัส (อุษาเทวี) และพระสูรยาทิตย์ พบเด็กนอนอยู่พระมุนีก็ทราบด้วยญาณอันเร้นลับว่า กุมารนี้คือใคร ก็รับกุมารไว้เลี้ยงดูจนเติบใหญ่ พระพรหมฤษีมีใจเมตตา สั่งสอนพระเวทและศิลปศาสตร์ทั้งปวงให้จนถึงราวกุมารเป็นหนุ่มฉกรรจ์ มีรูปร่างงดงามและมีผีมือในยุทธวิทยาอย่างเยี่ยมยอด เป็นที่รักของพระมหามุนียิ่งนัก วันหนึ่ง โยคีหนุ่มออกไปเก็บใบพลูเพื่อเอามาให้พระฤษีได้ยินเสียงพวกเทวจรณะ (นักร้องสวรรค์) กำลังขับลำนำอันไพเราะ มีเนื้อเพลงกล่างถึงประวัติของนหุษราชกุมารอย่างพิสดารก็เกิดความสนใจ จึงนำมาเล่าให้อาจารย์ฟัง พระวสิษฐ์มุนีได้ฟังก็กล่าวว่า “บทลำนำนั้นกล่าวถึงนหุษ ก็นหุษนั้นหาใช่ใครอื่นไม่ คือตัวเจ้านั่นเองแหละ” “ถึงเวลาแล้ว ที่เจ้าจะต้องไปทำหน้าที่กษัตริย์ตามชาติกำเนิดของเจ้า ขอให้เจ้ามีชัยชนะต่อศัตรูทั้งปวง จงจำไว้ว่า ถึงจะมีอำนาจยิ่งใหญ่เพียงไรก็ไม่ควรลืมตัวถือว่าเป็นผู้ประมาท ย่อมถึงความพินาศโดยแท้” นหุษกุมารถือเทพศัตราอันพระวสิษฐ์ประทานให้ ออกติดตามหาตัวหุณฑะ เป็นเวลาเดียวกับที่หุณฑะไปเกลี้ยกล่อมอโศกสุนทรีให้ปลงใจแก่ตน โดยอ้างว่าได้ฆ่านหุษเรียบร้อยแล้ว ตั้งแต่ยังเป็นกุมาร อโศกสุนทรีเสียใจจนสลบ พอดีกับนหุษเดินทางมาถึงได้ทราบจากกินนรชื่อวิทยุทธรว่า หุณฑะกำลังจะพาอโศกสุนทรีไปก็เข้าขัดขวางไว้ และต่อสู้กันอย่างดุเดือด ในที่สุด วีรกษัตริย์หนุ่มก็ฆ่าอสูรร้ายได้สำเร็จ การอภิเษกสมรสด้วยพิธีการอันมโหฬารมีขึ้นในท่ามกลางเทพบริษัททั้งปวง เสร็จเทวพิธีแล้วอโศกสุนทรีติดตามสามีไปอยู่กรุงหัสตินาปุระ ส่วนพระราชานหุษทรงปกครองแว่นแคว้นพร้อมด้วยพระนางอโศกสุนทรีด้วยความผาสุกเป็นเวลาช้านานถึงสามหมื่นปี
ในตอนปลายรัชกาลของพระราชานหุษและพระนางอโศกสุนทรี บังเกิดอาเพศขึ้นทั้งในแผ่นดินโลกและพิภพสวรรค์ กล่าวคือ บังเกิดความร้อนรุ่มทั่วไปทุกหนทุกแห่งท้องฟ้าแดงฉานเป็นหมอกเพลิงทั้งกลางวันกลางคืน บนพื้นโลกก็แห้งแล้ง เพราะฝนไม่ตกตามฤดูกาลเป็นเวลาถึงสิบสองปี ยังความเดือดร้อนแสนสาหัสแก่ชาวโลกโดยทั่วหน้า พระจักรพรรดินหุษผู้เป็นสหายแห่งท่าวมัฆวานจอมเทพ จึงนำข่าวความทุกข์ยากของประชาชนไปทูลให้ท้าวเธอทราบ และขอความอนุเคราะห์ พระศักรินทร์จอมสรวงไม่ทราบสาเหตุว่าเกิดจากอะไรแน่ จึงพาเหล่าทวยเทพไปเฝ้าพระสยมภูกราบทูลถามสาเหตุ พระพรหมธาดาได้ฟังก็นิ่งอยู่ครู่หนึ่ง พิเคราะห์เรื่องราวด้วยปรีชาญาณถ่องแท้แล้วจึงตรัสว่า “ดูก่อนอมรินทร์ เหตุวิบัตินี้เกิดขึ้นเพราะมีความผูกพันเกี่ยวกับตัวท่านเองเป็นส่วนตัว หาได้เกี่ยวกับผู้อื่นไม่ แต่ผลของความผูกพันนี้กลับทำให้ผู้อื่นต้องเดือดร้อนแสนสาหัส เพราะฉะนั้นเป็นหน้าที่ของท่านแต่ผู้เดียวที่จะต้องแก้ไขเหตุการณ์นี้ “เรื่องเป็นอย่างไรพระเจ้าข้า” ท้าววัชรินทร์ทูลถามทันควันด้วยความสงสัย “จะว่าไป เจ้าตัวการก่อความเดือดร้อนนี้ก็เป็นน้องชายของท่านนั่นแหละ แต่คนละแม่” พระจตุรพักตร์ตรัสอย่างไตร่ตรอง “เรื่องทั้งหมดเป็นผลของกรรมที่สืบทอดมาแต่อดีต ในอดีตกาลท่านเคยฆ่าบุตรของนางทิติ ผู้เป็นน้องของนางอทิติเทวีแม่ของท่าน เพราะเชื่อในคำทำนายว่า บุตรของนางจะเป็นผู้กำจัดท่านจากบัลลังก์ในอนาคต ท่านจึงชิงกระทำการตัดต้นเหตุเสียก่อน โดยลักลอบฆ่าลูกในท้องของนาง และตัดร่างกุมารออกเป็น ๔๙ ชิ้น ซึ่งต่อมากลายเป็นเทพมรุตรวม ๔๙ องค์ นางทิติทราบเรื่องนี้มีความแค้นท่านมาก สาปให้ท่านต้องจากสวรรค์กลายเป็นผู้สิ้นเนื้อประดาตัวในโอกาสที่จะมาถึงในไม่ช้า และสาปแม่ของท่านคือ อทิติเทวีให้ลงไปเกิดในโลกมนุษย์ และให้ถูกจองจำในห้องขังทนทุกข์ทรมานช้านาน มีลูกกี่คนก็จะต้องถูกฆ่าตายหมด จงรู้ไว้เถิดว่า ผลของคำสาปนี้ลูกของนางทิติ ได้เกิดขึ้นแล้วคนหนึ่งเป็นอสูรอำมหิตทรงฤทธิ์ร้ายกาจมีรูปร่างเป็นอหิ (งูใหญ่หรือมังกร) น่ากลัวยิ่งนัก เทวดาและมนุษย์ใดๆก็ไม่อาจจะต้านทานกำลังมหาศาลของมันได้ อาวุธใดๆก็ไม่อาจจะปราบมันได้ นอกจากวัชรายุธ (วชิราวุธ) อันเป็นเทพศาสตราพิเศษสุดเท่านั้น ส่วนแม่ของท่านในอนาคตกาลจะต้องลงไปเกิดเป็นนางเทวภีชายาของเจ้าชายสวุเทพแห่งจันทรวงศ์และนางจะต้องถูกจองจำ และลูกของนางจะถูกฆ่าตายหมดด้วยฝีมือพญากงส์แห่งนครมถุรา ว่าแต่เรื่องเฉพาะหน้าของท่านนี่ก่อนเถอะ ท่านจะต้องช่วยตัวของท่านเอง ท่านจะต้องปราบปรามวฤตราสูรผู้นี้ มันกำลังทอดร่างกายยาวเหยียดปานขุนเขาหิมาลัยกางกั้นธารสวรรค์มิให้ตกลงยังแผ่นดินโลก เมื่อธารสวรรค์ถูกกักกันไว้เช่นนี้แล้ว โลกก็จะแห้งแล้งเพราะไม่มีฝนตกความหายนะถึงชีวิตจะมาสู่ชาวโลกในไม่ช้า” “ก็วัชรายุธอันเป็นยอดแห่งศัตราวุธที่ว่านั้น จะหาได้จากไหนเล่าพระเจ้าข้า” ท้าวศจีบดีทูลถามด้วยความร้อนรน “ใครจะทำให้ข้าพระบาทได้เล่า” พระครรไลหงส์ทรงหรี่พระเนตรทั้งแปดลงจนเกือบจะปิดสนิทแสดงว่าจะทรงกลับเข้าสู่ฌาณอันลึกซึ้งอีกครั้งหนึ่ง ทรงโบกพระหัตถ์เป็นเชิงเตือนให้ถอยออกไปใหส้พ้นพระวิมานให้หมดสิ้น ก่อนจะตรัสเป็นครั้งสุดท้ายว่า “ไปสิ ไปหาฤษีทธยัญจะ ขอกระดูกสันหลังของเขา นั่นแลคือวัชรายุธที่จะปราบวฤตระตามที่ต้องการ” สิ้นพรหมดำรัส พระเนตรก็ปิดสนิท ไม่ทรงรับรู้เรื่องใด ๆอีกต่อไป คณาเทพจึงกราบถวายบังคมลาคลานถอยออกมาจากวิมานกลับไปยังที่อยู่ของตน พระศจีบดีเมื่อแจ้งเหตุโดยตลอด ก็มิได้รอช้า รีบเสด็จมาสู่อาศรมของพระทธยัญจะมหามุนี เล่าเรื่องให้พระฤษีฟังโดยตลอด และอ้อนวอนขอกระดูกสันหลังของพระมุนีไปทำวัชรายุธ พระทธยัญจะได้ฟังแล้วตรึกตรอง เห็นว่าเป็นเรื่องเดือดร้อนของชาวโลกทั้งหมด ไม่อาจจะนิ่งเฉยอยู่ได้ก็ยอมสละชีวิต ถอดกระดูกให้ด้วยการอธิษฐานจิต แล้วละสังขารไปเกิดในสวรรค์ ฝ่ายพระอินทร์เมื่อได้สิ่งสำคัญแล้ว ก็นำไปให้เทพตวัษตฤผู้เป็นนายช่างเอกของสวรรค์ กระทำเทพศัตราขึ้นเป็นอาวุธอันคมกล้า มีแสงแวบวาบเลื่อมพรายดังเพขร เมื่อกวัดแกว่งก็เป็นสายฟ้าแลบโชติช่วยสว่างไปทั้งสามโลก ท้าววัชรินทร์เปิดฉากการต่อสู้อย่างดุเดือดต่อพญามังกรใหญ่ ซึ่งนอนทอดกายขวางธารสวรรค์อยู่สุดขอบฟ้า ร่างนั้นดำทมึนมหึมาดังจอมภูผา เปล่งเสียคำรณคำรามอย่างน่าสะพรึงกลัวมิได้ขาดระยะ พญาอหิตัวร้ายพยายามต่อสู้จนสุดฤิทธิ์แต่ก็อ่อนแรงลงในที่สุดเพราะถูกแรงวัขรายุธฟาดฟันไม่นับแผล จนร่างกายขาดเป็นท่อนค่อยจมลงสู่ก้นทะเลลึกในฟากฟ้า และเปิดทางให้กระแสธารสวรรค์ไหลลงสู่พื้นพิภพ เป็นสายฝนพรั่งพรูให้ความเย็นฉ่ำและความสดชื่นแก่โลกอีกวาระหนึ่ง แต่ท้าววัชรินทร์ผู้พิชิตพญางู หาได้ยินดีต่อชัยชนะอันยิ่งใหญ่ครั้งนี้ไม่ ตรงกันข้าม พระองค์กลับตกใจสุดขีดเมื่อรำลึกขึ้นมาได้ว่า ผู้ที่พระองค์ประหัตประหารไปแล้วนั้นมิใช่อสูรธรรมดา แท้ที่จริงวฤตระนั้นนับว่าเป็นวรรณะพราหมณ์ เพราะเหตุว่าบิดาของพญาอสูรคือ พระเทพบิดรกัศยปมุนี เป็นหลานโดยตรงของพระพรหม และการฆ่าพราหมณ์นั้นเป็นบาปมหันต์ เรียกว่า พรหมหัตยา เป็นมลทินทั้งกายและใจ เมื่อคิดได้ฉะนี้ พระอินทร์ก็หวาดเกรงต่อบาปยิ่งนัก รีบเหาะหนีเตลิดไปจากที่นั้นโดยเร็วท้าวเธอเหาะข้ามแม่น้ำไปถึง ๙๙ สาย กระเซอะกระเซิงไปไม่รู้เหนือรู้ใต้ ไปจนถึงหุบเขาลี้ลับแห่งหนึ่งใกล้ทะเลสาบมานสะ ในหุบเขามีบึงบัวอันสงบเงียบ ท้าววัชรินทร์ก็เร้นกายแอบแฝงเข้าซ่อนตัวอยู่ในระหว่างกอบัวและอาศัยเป็นที่พำนักบำเพ็ญพรตไถ่บาป โดยไม่ปรากฏตัวต่อสายตาของผู้ใดให้ได้พบเห็นอีก การหายสาบสูญโดยไม่มีร่องรอยของพระอินทร์ ทำให้เกิดความวุ่นวายในสวรรค์เพราะไร้ผู้ดูแล พวกอสูรก็สิ้นความยำเกรง ทวยเทพจึงต้องหาที่พึ่งใหม่ ซึ่งก็ไม่เห็นผู้ใดที่จะมีพระปรีชาสามารถเสมอด้วยจักรพรรดินหุษ ผู้เรืองเดชแห่งภารตวรรษ จึงพร้อมใจกันอัญเชิญพระเจ้านหุษให้เป็นเจ้าสวรรค์ครองนครอมราวดีบนยอดเขาพระสุเมรุอีกแห่งหนึ่ง พระจักรพรรดินหุษผู้เกรียงไกรก็ยินดีรับตำแห่นงเทวาธิป ขึ้นครองพิภพสวรรค์โดยไม่ลังเลพระทัยแม้แต่น้อย
จำเนียรกาลล่วงมาก็ปรากฏว่า พระองค์เป็นผู้นำที่ทรงความสามารถ ปกครองสวรรค์ให้เรียบร้อยเป็นปกติ และทำสงครามมีชัยต่อเหล่าอสูรทุกครั้งจนเป็นที่เข็ดขยาดของอริราชศัตรูทั้งมวล วันหนึ่งท้าวเธอเสด็จประพาสสวนสวรรค์นันทวโนทยานอันงดงามเป็นที่รื่นรมย์ ได้ทอดพระเนตรเห็นองค์อินทราณี ผู้เป็นพระมเหสีของพระอินทร์ ประทับสำราญอยู่ด้วยพระโอรสคือ ชยันต์ และพระธิดานาม ชยันตี ความงามของพระศจี หรือ อินทราณีนั้นวาบเข้าสู่พระทัยในฉับพลัน พระเทวาถึงกับตะลึงลานด้วยความเสน่หา บังเกิดความปรารถนาอย่างรุนแรงใคร่จะได้พระศจีมาเชยชม จึงเสด็จเข้าไปทักทาย และตรัสเล้าโลมด้วยคำหวานเกลี้ยกล่อมให้มีใจยินดีด้วยพระองค์ แต่พระเทวีผู้มีจิตมั่นคงภักดีในสวามีหาได้สนใจไม่ พระราชาเสด็จกลับไปหานางถึง ๗ ครั้งและพร่ำเว้าวอนขอความรักจากนาง ในที่สุดเมื่อพระราชาหมดความอดทนก็แสดงการคุกคามใช้อำนาจบังคับ พระศจีสุดบ่ายเบี่ยงต่อไปอีก ก็จำต้องวางแผนกำจัดพระราชาเพื่อเอาตัวเองรอด ด้วยความฉลาดเฉียบแหลมอย่างยอดยิ่ง พระเทวีแสร้งทำเป็นยิ้มแย้มเอาพระทัยพระราชา ประหนึ่งจะมีท่าโอนอ่อนผ่อนตาม และตรัสว่า “ข้าแต่มหาราช หม่อมฉันได้ไตร่ตรองแล้วเห็นว่า ไม่ควรจะขัดพระทัยให้เป็นที่ขุ่นเคืองอีกต่อไป หม่อมฉันยินดีคล้อยตามพระประสงค์เพียงแต่หม่อมฉันมีเงื่อนไขบางอย่าง ซึ่งพระองค์ควรจะพิจารณาเสียก่อน” “อะไรหรือ จงบอกมาเถิด เรายินดีทำตามทุกอย่าง” “พระองค์จะต้องส่งสีวิกามาศ (วอทอง) พร้อมด้วยกระบวนเกียรติยศมารับหม่อมฉัน และข้อสำคัญผู้ที่จะมาทำหน้าที่หามสีวิกา จะต้องเป็นพระมหาฤษี ๑๒ ตนล้วนแต่มีนามเกริกไกรทั้งสิ้น อาทิ พระพรหมฤษีอคัสตยะ พระภัทวาช พระเคาตมะ พระอัตริ พระภฤคุ พระองค์จะปฏิบัติตามคำขอร้องของหม่อมฉันได้หรือไม่” “ได้สิ เรื่องเพียงเท่านี้ เรายินดีทำตามที่เธอต้องการ” พระราชารีบรับคำ แล้วเสด็จออกสู่ท้องพระโรง ตรัสสั่งให้เทพมนตรีแต่งสารไปแจ้งโองการแก่บรรดาพระมหาฤษี ๑๒ ตนโดยทันที เมื่อฤษีมาพร้อมกันแล้ว พระนหุษราชาผู้เป็นเจ้าโลกและเจ้าสวรรค์ก็เสด็จขึ้นวอทอง อันเป็นเทพยานมีฤษีแบกหามเดินทางไปสู่วิมานของพระอินทราณีโดยฉับพลัน พระมหาฤษีทั้ง ๑๒ ตนล้วนแต่เป็นผู้ชรามากแล้ว ไม่มีพละกำลังพอที่จะหามยานุมาศไปโดยรวดเร็วทันใจ พระราชาผู้มีพระทัยเร่าร้อนทรงเห็นว่าฤษีทั้งหลายงุ่มง่ามกวนโทโส โดยเฉพาะอย่างยิ่งพระอคัสตยมุนี ผู้มีร่างกายต่ำเตี้ยกว่าใครๆ จนอาจจะเรียกว่าฤษีแคระนั้นออกจะงุ่มง่ามกว่าเพื่อน พระราชาทนหงุดหงิดพระทัยต่อไปไม่ไหวจึงหยิบธารพระกร(ไม้เท้า) ขึ้นเคาะบนศรีษะของพระมุนีเตี้ยและตรัสบริภาษว่า “เร็วๆเข้าเจ้าเตี้ยเลื้อยไปเร็วๆหน่อย ข้ารำคาญเต็มทนแล้ว” ทันทีที่สิ้นพระดำรัส ความอดทนของพระอคัสตยมุนีฤษีเตี้ยก็ขาดสะบั้นลง พระมหามุนีสลัดหลุดจากคานหาม หันมาชี้พระพักตร์พระราชาด้วยความโกรธสุดขีด ตวาดว่า “ดูดู๋ เจ้าคนถ่อย กำเริบโอหัง ดูหมิ่นเหยียดหยามข้าถึงเพียงนี้ ข้าสู้อดทนยอมเสียเกียรติมาแบกหามวอให้เจ้าด้วยกตัญญู คิดตอบแทนบุญคุณที่เจ้าได้ช่วยปกป้องโลก และสวรรค์ให้พ้นภัยนานา มาโดยสวัสดี แต่แทนที่เจ้าจะเห็นแก่หน้าข้าต่อหน้าที่ชุมนุมทวยเทพเจ้ากลับเห็นข้าเป็นอะไร คงจะลืมตัวไปแล้วกระมัง ในเมื่อจะว่าโดยชาติวุฒิ วัยวุฒิ และคุณวุฒิ ข้าก็เหนือกว่าเจ้าทุกประการ ผู้ที่หลงมัวเมาในอำนาจเยี่ยงเจ้านี้สมควรจะได้รับบทเรียนอย่างสูงสุดที่เจ้าจะไม่มีวันลืมเลือนไปชั่วชีวิต เจ้าสั่งข้าว่ากระไร เมื่อตะกี้นี้ เจ้าสั่งข้าให้เลื้อยไปราวกับข้าเป็นสัตว์เลื้อยคลาน ดีละ บัดนี้ข้าขอสาปเจ้าให้เป็นสัตว์เลื้อยคลานบ้าง จงกลายร่างเป็นงูใหญ่เลื้อยไปตามแผ่นดิน จงอยู่ในถ้ำโพรงตามฐานะของสัตว์ต่ำช้า ทนทุกข์ไปชั่วกาลนานเถิด” สิ้นคำสาปของพรหมฤษี พระจักรพรรดินหุษก็พลันหกพระเศียรปักลงสู่พื้นดินเบื้องล่าง กลายเป็นงูใหญ่น่าเกลียดน่ากลัวไปทันที ชำแรกแผ่นดินหนีไปด้วยความละอายไปสู่ภูเขาคันทมาทน์หาที่พำนักอยู่ ในถ้ำบริเวณนั้น ข่าวความวิบัติของนหุษราชาแพร่ไปโดยรวดเร็ว ถึงนครหัสตินาปุระ อันเป็นราชธานีในโลกมนุษย์ พระนางอโศกสุนทรีทรงตกพระทัยเพียงชีวิตจะออกจากร่าง มีความเศร้าเสียพระทัยอย่างสุดซึ้งในวิบากกรรมของสวามี ไม่อาจจะประทับอยู่ต่อไปในพระนครได้ พระนางเองทรงแต่งพระองค์ด้วยภูษาภรณ์ของหญิงม่ายผู้ยากไร้ รีบเสด็จไปสู่เขาไกรลาส เข้าเฝ้าพระอุมาเทวีร่ำไห้ฟูมฟายน้ำตา พลางกราบทูลเรื่องที่เกิดขึ้นให้ทรงทราบ พระมหาเทวีฟังความโดยตลอดแล้วก็นิ่งอึ้งอยู่ครู่หนึ่ง จึงเสด็จลงจากทิพยอาสน์มีพระพักตร์อันเศร้าหมอง ประคองพระธิดาสุดที่รักให้ขึ้นมานั่งเคียงข้าง ทรงเช็ดน้ำพระเนตรพระธิดาให้ด้วยความเอ็นดู พลางตรัสว่า “อย่าเศร้าโศกไปเลย ลูกของแม่ สามีเจ้าเป็นเพียงมรรตรัยชนคนหนึ่ง ย่อมตกอยู่ใต้อำนาจชะตากรรมอันหลีกเลี่ยงไม่ได้ แม่ก็เคยบอกเจ้ามาช้านานแล้วมิใช่หรือว่า ในอนาคตกาลเจ้าจะต้องพลัดพรากจากสามีเพราะกรรมที่เขาก่อขึ้นเอง เหตุที่เกิดครั้งนี้เพราะอินทราณียืมมือฤษีอคัสตยะให้ช่วยกำจัดนหุษ แทนนาง แต่จะโทษนางก็ไม่ได้ ควรจะยกย่องด้วยซ้ำว่านางเป็นหญิงฉลาด รู้รักษาตัวรอดมาได้ด้วยปัญญาโดยแท้ เอาเถิด แม่จะลองไปอ้อนวอนพระมหามุนีดู ท่านคงจะไม่ใจจืดใจดำต่อแม่หรอก” ตรัสเสร็จพระปรเมศวรีก็เรียกทิพยยานเข้ามาเทียบ ลอยเลื่อนสู่วนาศรมของพระอคัสตยมุนี พระอคัสตยมุนีทราบเรื่องโดยญาณอันเร้นลับว่าพระเทวีกำลังเสด็จมา ก็ออกมายืนต้อนรับที่หน้าอาศรม ทันทีที่แลเห็นพระมหามุนีอโศกสุนทรีก็ทรุดกายลงกราบแทบเท้าและกล่าววิงวอนขอโทษแทนสามีผู้ประพฤติผิด พระฤษีก็นิ่งอยู่มิได้กล่าวประการใด พระปรเมศวรีจึงตรัสว่า “ข้าแต่มหามุนี เราขอโทษแทนนหุษผู้โง่เขลา มัวเมาในกิเลสตัณหา และกำเริบโอหังกระทำการล่วงเกินต่อท่าน เราไม่อยากจะยุ่งเกี่ยวด้วยเรื่องของคนคนนี้เลย แต่เอ็นดูอโศกสุนทรีลูกน้อยผู้มีทุกข์อันเพียบแปล้ไม่อาจดูดายได้ ขอพระมหามุนีจงเห็นแก่เรา ลดหย่อนผ่อนโทษให้นหุษสักครั้งเถิด" พระอคัสตยมุนีได้ฟังเทพดำรัสก็มิอาจจะขัดได้ จึงทูลสนองว่า “โอ พระโลกมาตา ขออย่าทรงวิตกไปเลย ข้าพเจ้าจะลดกำหนดเวลาในการสาปพระชามาดา ของพระองค์ลง นับแต่นี้ไปอีกชั่วห้าสิบรัชกาลแห่งกษัตริย์จันทรวงศ์ เมื่อกษัตริย์ปาณฑพทั้งห้าคือ ยุธิษฐิระ ภีมะ อรชุน นกุล และสหเทพ ถูกเนรเทศออกเดินป่า ๑๒ ปี และเสด็จไปถึงภูเขาคันธมาทน์ในอนาคตกาล เขาจะได้แลเห็นนหุษ และด้วยการแลเห็นนั้นเอง พญางูใหญ่จักพ้นคำสาป อโศกสุนทรีจงรอคอยเวลานั้นเถิด อย่าได้เป็นทุกข์เลย พระนหุษผู้สำนึกผิดแล้วจักกลับมาพบเธออีกครั้งหนึ่ง” พระมหาเทวีพร้อมด้วยอโศกสุนทรีอำลาพระมุนีกลับคืนเขาไกรลาส อโศกสุนทรีมีความแช่มชื่นด้วยความหวังว่าจะได้พบกับสามีอีกครั้งหนึ่งแน่นอน แม้จะต้องใช้เวลารอคอยอีกช้านานถึง ๕๐รัชกาลซึ่งคงจะนานมากนักหนา บางทีอาจจะหลายแสนปี จากหนังสือ หริศจันทร์ โดย อ.ศักดิ์ศรี แย้มนัดดา พิมพ์ครั้งแรก พ.ศง ๒๕๓๓

ไม่มีความคิดเห็น: