02 สิงหาคม 2551

พระมนู

พระมนู พระวิวัสวัตสูรยาทิตย์ ผู้เปล่งแสงส่องโลกและสวรรค์ มีพระโอรสทรงนามว่า สัตยพรต หรือ พระไววัสวัต พระสัตยพรตเป็นพระราชาปกครองแผ่นดินโลกส่วนหนึ่งปลายเขตแดนชมพูทวีปทางทิศตะวันออก ติดกับฝั่งมหาสาครอันกว้างใหญ่ไกลสุกขอบโลก พระองค์ทรงงตั้งอยู่ในธรรมะอันเคร่งครัด ทรงเคารพบูชาพระวิษณุเป็นเจ้าด้วยหฤทัยอันภักดีไม่คลอนแคลน กาลเวลาผ่านไปช้านานนับประมาณมิได้ ในที่สุดก็ถึงคราวที่โลกจะประสบภัยพิบัติ ถึงกาลเสื่อมสลาย นั่นก็คือวาระที่พระพรหมธาดาผู้สร้างโลกจะเข้าสู่นิทราอันยาวนาน ซึ่งเรียกกันว่า “ราตรีแห่งพรหม” เป็นธรรมเนียมว่า เมื่อพระบรมโลเกศทรงสร้างโลกขึ้นนั้น พระองค์ทรงใช้วเลาหนึ่งวันของพระองค์สร้างสรรค์ สร้างสิ่งมีชีวิตและไม่มีชีวิตให้บังเกิดขึ้นในโลกจนครบถ้วนทุกสิ่งทุกอย่าง เมื่อใกล้จะสิ้นวันหนึ่งของพระองค์ (ซึ่งเท่ากับเวลาหลายล้านปีในโลกมนุษย์) พระองค์ก็ทรงรู้สึกเหน็ดเหนื่อยเหลือประมาณ เพราะทรงตรากตรำทำงานมาตลอดวัน ใคร่จะประทับพักผ่อน จึงเอนพระองค์ลงบนพระแท่นบัวบาน ค่อยผ่อนคลายพระอิริยาบถพระเนตรทั้งแปดเริ่มหรี่ลงจนปิดสนิท เมื่อความมืดเริ่มเข้าครอบคลุมโดยรอบ อันเป็นเครื่องหมายแห่งการเริ่มต้นพรหมราตรีอันยาวนาน และจะเป็นผลให้บังเกิดความสิ้นสุดแห่งการดำรงชีวิตของสัตว์ทั้งหลายตลอดทั่วสกลโลก เมื่อความมืดบังเกิดแก่พรหมโลกแล้ว มิช้าโลกก็จะค่อยมืดลงตามลำดับและถึงกาลอวสานในที่สุด ขณะที่องค์พระครรไลหงส์ประทับไสยาศแน่นิ่งอยู่บนพระกมลาศบรรยงก์นั้น ทรงอยู่ในห้วงนิทราอันลึกซึ้ง พระโอษฐ์เผยออ้าออกจากกัน ลำดับนั้นพระเวทอันประเสริฐสุดก็หลั่งไหลออกมาและพรั่งพรูลงสู่มหาสาครเบื้องล่าง พญาอสูรร้ายชื่ หยครีพ (หะ-ยะ-ครีบ) ผู้มีถิ่นพำนักอยู่ใต้สมุทรเห็นดังนั้นก็มิรอช้า รีบกระวีกระวาดโผขึ้นสู่ผิวน้ำดี่มกินกระแสพระเวทจนหมดสิ้น แล้วดำดิ่งรุดลงสู่สะดือทะเลอันลึกสุดหยั่ง และแฝงกายซ่อนอยู่ที่นั่น ฝ่ายพระสัตยพรตราชา วันหนึ่งเสด็จลงสู่ชายแม่น้ำเพื่อการทำพิธีบูชาพระสวิตฤอันเป็นพระสูรยะสีทองในท้องฟ้า ทรงกอบน้ำสู่พระหัตถ์พร้อมกับร่ายพระมหามนตราคายตรีแล้วจะปล่อยกลับคืนสู่ผิวน้ำ ทันใดก็ได้ยินเสียงจากพระหัตถ์ว่า “มหาราชะ อย่างทิ้งข้าให้ตกเป็นเหยื่อของปลาใหญ่และสัตว์ร้ายในแม่น้ำเลย ขอได้โปรดช่วยชีวิตข้าด้วยเถิด” พระราชาทอดพระเนตรในฝ่าพระหัตถ์ เห็นปลาตัวกะจ้อยร่อยสีทองแวววับกำลังดิ้นดุกดิกอยู่ ก็ทรงมีพระทัยสงสาร จึงตรัสถามด้วยความเอ็นดูว่า “เจ้าปลาน้อย จะให้ข้าช่วยอย่างไร บอกมาเถิด” “ก็ทรงแลี้ยงข้าไว้ในภาชนะสิ พระเจ้าข้า” พระราชาทรงน้ำวาริชตัวน้อยไปเลี้ยงไว้ในหม้อ ชั่วเวลาเพียงคืนเดียว พอรุ่งเช้าทอดพระเนตรเห็นปลาตัวใหญ่เต็มหม้อก็ทรงประหลาดพระทัยยิ่งนัก ปลาแลเห็นพระราชาก็กล่าวพ้อว่า “พระองค์ปล่อยข้าไว้ในหม้อเล็กนี่กระไร ข้าอึดอัดเพราะมันแสนคับแคบ ดูวิ ข้าว่ายไปไหนไม่ได้” พระราชาทรงเทปลาสู่อ่างใบใหญ่ แต่ชั่วเวลาไม่กี่นาที ปลาก็เติบโตคับอ่าง ดิ้นขลุกขลักร้องว่า “มหาราชะ พระองค์ช่างไม่เวทนาข้าเลย อ่างใบนี้เล็กเกินไป ข้าว่ายไปมาไม่ได้ ขอได้ทรงปล่อยข้าลงในทะเลสาบเถิด ข้าจะได้สบายขึ้นบ้าง” พระราชาทรงฉงนพระทัยยิ่งนัก นึกไม่เห็นเหตุผลว่าทำไมปลาจึงตัวใหญ่รวดเร็วเช่นนั้น แต่ด้วยความเมตตาปรานีจึงตรัสสั่งให้เหล่าเสนาช่วยกันฉุดลากปลาขึ้นจากอ่างน้ำ เอาไปปล่อยในทะเลสาบอันไพศาล มีฝั่งวัดโดยรอบถึงร้อยโยชน์ “เอาปลา ศผริ (สะ-ผะ-ริ) (๑)เอ๋ย ทีนี้คงจะสบายสมใจเจ้า ข้าจะได้เลิกวุ่นกับเจ้าเสียที” พระราชาตรัสอย่างโล่งพระทัย แต่ทันทีที่กล่าวจบ ปลาศผริก็รีบทูลว่า “มหาราชะ ทะเลสาบนี้เต็มไปด้วยสัตว์ร้าย เช่น จระเข้ เหรา และ มังกร ท่องเที่ยวหากินอยู่มิได้ขาด ข้าคงจะตกเป็นเหยื่อของมันแน่นอนเพราะไม่อาจจะหนีไปไหนได้ พระองค์จะทรงทอดทิ้งข้าเสียแล้วหรือ” จอมกัษตริย์ได้ฟังปลากล่าวดังนั้น ทรงฉุกพระทัยคิดขึ้นได้ว่า ปลานี้ กระทำตนประหลาดหลายครั้งหลายหนเป็นที่น่าสงสัยนัก ชะรอยจะมิใช่ปลาธรรมดา ดีร้ายอาจจะเป็นองค์พระหริแปลงพระองค์มาเพื่อทดลองอะไรสักอย่าง ดำริฉะนี้ก็รับทรุดพระองค์ลงกระทำอัญชลีด้วยความนอบน้อมตรัสถามว่า “โอมหามัจฉาผู้งามเลิศ ท่านนี้คงจะมิใช่ปลาธรรมดา แท้จริงคือองค์พระวิษณุเป็นเจ้าเสด็จลงมาใช่หรือไม่” “ถูกแล้ว ราชะ พระองค์คิดมิผิด ข้าคือวิษณุที่ท่านมุ่งภักดีมาช้านาน เรามาหาท่านเพราะเห็นว่าท่านจงรักมั่งคงในตัวเรา เป็นสาวกที่ดีเลิศยากจักหา เราจะมาช่วยท่านให้พ้นมหาภัยพิบัติ” ปลาใหญ่กล่าวด้วยน้ำเสียงอันแจ่มใสไพเราะ พลางโบกครีบและหางไปมาเป็นประกายสีทอง “จงฟังให้ดีสัตยพรต เรานำข่าวสำคัญมาบอกแก่ท่าน บัดนี้ถึงพรหมราตรีแล้ว พระธาดาทรงหลับใหลด้วยทรงเหน็ดเหนื่อยมาตลอดวัน ซึ่งก็เป็นเวลาหลายล้านปีมนุษย์ นับแต่นี้ไปอีกเจ็ดวัน โลกจะถึงคราวิบัติ น้ำจะท่วมแผ่นดินโลกจนถึงสวรรค์ ดวงดาวจะเป็นเหยื่อของฝูงปลา พระอาทิตย์และพระจันทร์จะดับหาย คงมีแต่ราตรีอันยาวนานและมืดสนิททั่วทุกแห่ง มนุษย์และสัตว์บกและสัตว์ในอากาศจะพากันตายสิ้น ท่านจงเร่งเตรียมตัวรับมหาภัยนี้เถิด” “ข้าพระบาทจะทำอย่างไร พระเจ้าข้า” พระราชาตกพระทัยแทบสิ้นสติ “ ขอพระเจ้าโปรดเมตตาแก่ข้าพระบาทด้วยเถิด” “อย่าวิตกไปเลย มหาราชะ เราไม่ทอดทิ้งท่านหรอก” พระไวกุณฐนาถตรัสด้วยความเมตตา “เราจะส่งเรือใหญ่มารับท่านเมื่อวันโลกาวินาศมาถึง บัดนี้จงเร่งรีบรวบรวมบรรดาสัตว์ทั้งหลายไว้อย่างละคู่ และเก็บพรรณพฤกษาทั้งหลาย รวมทั้งสมุนไพรอันมีประโยชน์ให้ครบถ้วน เมื่อเรานำเรือมาให้แล้ว จงนำสิ่งทั้งหลายดังกล่าวลงเรือ และอัญเชิญพระฤษีทั้งเจ็ดมาด้วย ถึงเวลานั้นมหาสาครก็จะกำเริบด้วยเสียงสมุทรนินนาท ด้วยถูกพายุใหญ่พัดกระหน่ำไม่มีหยุด คลื่นใหญ่กว่าภูเขาเลากาจะถาโถมเข้าสู่แผ่นดินครั้งแล้วครั้งเล่า จนทวีปทั้งเจ็ด(๒)จมหายไปใต้ทะเล ในความมืดมนอนธการนั้น เรือของท่านจะถูกสายน้ำพัดเคว้งคว้างไม่รู้ทิศเหนือทิศใต้จนแทบจะภินท์พัง แต่อย่ากลัวเลย เราจะมาช่วยท่าน ท่านจงฉุดนาคขึ้นจากทะเลตัวหนึ่งเอามาผูกเรือไว้ และพันให้มั่นคงกับเขาบนศีรษะเรา เราจะลากพาเรือของท่านไปให้พ้นอันตราย ท่านจงเร่งเตรียมตัวตามคำของเราแต่บัดนี้เถิด” กล่าวจบปลาศผริใหญ่ก็หายวับไป (ต่อพรุ่งนี้) (๑) ศผริ ชื่อปลาชนิดหนึ่ง แปลกันมาแต่โบราณว่าปลากราย (๒) ทวีปทั้งเจ็ด คัมภีร์ปุราณะฉบับต่างๆแบ่งโลกเป็น เจ็ดทวีป คือ ทวีปบุษกร ศากะ เกราญจะ กุศะ ศาลมลิ ปักษะ ชมพู มีทะเลล้อมรอบ ๗ สาย คือทะเลน้ำจืด ทะเลน้ำนม ทะเลนมเปรี้ยว ทะเลเนยใส ทะเลเหล้าองุ่น ทะเลน้ำอ้อย และ ทะเลน้ำเค็ม
พระราชามิได้นิ่งรอช้าเร่งรีบตระเตรียมทุกสิ่งทุกอย่างตามคำพระเป็นเจ้าโดยด่วน เมื่อกาลเวลาผ่านไปเจ็ดวัน ทุกสิ่งก็พร้อมบริบูรณ์ ทันทีที่คลื่นใหญ่เริ่มถาโถมเป็นขบวนใหญ่ดังภูเขาเลากาเข้าถล่มทลายแผ่นดิน มหานาวาอันกว้างใหญ่สุดคาดกำหนดก็ปรากฎแล่นรี่เข้าเกยหาด พระราชาและพระมเหสีพร้อมด้วยสัปตฤษีก็รีบลงสู่เรือพร้อมด้วยสัตว์ทั้งหลายอย่างละคู่และพฤกษานานาพรรณที่เลือกไว้ ในเวลามิช้าน้ำทะเลก็ซัดเข้าท่วมฝั่งและสูงขึ้นตามลำดับจนกลืนแผ่นดินโลกและภูเขาทั้งหลายหายลับไปจากสายตา และท่วมท้นจนถึงดวงอาทิตย์ ดวงจันทร์ ตลอดจนดวงดาวทั่วทั้งคคนางค์ เมื่อสิ้นแสงสว่างในท้องฟ้า ทั่วทั้งสกลโลกก็มืดมิดไปหมดทุกทิศทุกทาง มีแต่เสียงคลื่นและลมกระหึ่มครืนครางชวนให้เกิดความสยดสยองใจยิ่งนัก เรือลำใหญ่ของพระราชาถูกคลื่นลมตีกระหน่ำฟัดเหวี่ยงหันรีหันขวาง ทำทีจะอับปางลง ฤษีทั้งเจ็ดผู้มีแสงเรืองรองต่างก็พากันสวดวิษณุเวทอ้อนวอนพระนารายณ์ให้ช่วยมิขาดเสียง ทันทีก่อนที่เรือจะอับปาง ปลาศผริใหญ่มหึมาผู้มีความยาวถึงล้านโยชน์ก็ปรากฎตนขึ้น เร่งให้พระราชาดึงนาคมาผูกเรือต่อเข้ากับเขากลางศีรษะของตน แล้วว่ายแหวกมหาสาครอันบ้าคลั่งและมืดมิดนำไปสู่ทางที่พ้นอันตรายจนในที่สุดเมื่อกาลเวลาผ่านไปช้านาน คลื่นและลมค่อยบรรเทาลง น้ำทะเลก็เริ่มลดลงตามลำดับและเรือใหญ่ก็เคลื่อนเข้าเกยหาด ปลาศผริเมื่อนำเรือพระราชามาสู่ฝั่งแล้วก็กล่าวว่า “ดูก่อนสัตยพรต บัดนี้ก็สิ้นพรหมราตีแล้ว โลกกำลงจะกลับฟื้นคืนอีกวาระหนึ่ง ทุกอย่างจะเริ่มดำเนินไปตามวัฏจักรของโลก เรามีภาระสำคัญเร่งดวนจะต้องรีบกระทำ ท่านจงพักอยู่ที่นี่ก่อนเถิด เราขอลาท่านไปก่อน เมื่อเสร็จธุระแล้วเราจะกลับมาพบท่านอีกครั้งหนึ่ง” กล่าวจบปลาศผริก็สลัดนาคที่ผูกไว้กับเขาให้หลุดไป และแหวกว่ายสายสมุทรรุดหายไปในพริบตา พระผู้เป็นเจ้าในร่างปลาใหญ่แหวกว่ายค้นหาที่ซ่อนของพญาอสูรหยครีพใตท้องทะเลจนทั่ว ในที่สุดแลเห็นหอยสังข์ใหญ่มหึมานอนสงบนิ่งอยู่ก้นสะดือทะเล ก็ทรงทราบว่า พญายักษ์แปลงร่างพรางนัยน์ตามิให็จำได้ จึงว่ายเวียนอยู่รอบมหาสังข์นั้น เพื่อหาช่องทางประหารเสีย แต่ก็ไม่แลเห็นหนทาง เพราะหอยนั้นมีเปลือกปิดสนิทเป็นเนื้อเดียวกันเป็นแท่งทึบ พญาปลาเพ่งพนิศอยู่ครู่หนึ่งก็รู้ว่าอสูรร้ายสร้างเกราะกำบังตัวเองอย่างแน่นหนา ไม่มีทางจะเข้าถึงได้ ก็กลับคืนพระองค์สู่ร่างเดิมเป็นเทพทรงพระหายมหิมา จับหอยสังข์แหวะท้องกระชากฉีกออกด้วยนขาอันคมกริบ (๓) แล้วหยิบเอาพระเวทในท้องอสูรกลับคืน เมื่อประหารจอมอสูรแล้ว ก็รับเสด็จไปสู่สำนักแห่งพระบรมโลเกศ ทรงปลุกพระธาดาพรหมให้ตื่นขึ้น แลถวายพระเวทอันศักดิ์สิทธิ์คืนแก่พระผู้เป็นเจ้า
พระจตุรพักตร์ลุกขึ้นประทับนั่งบนพระแท่นกมลาสน์ ทอดพระเนตรดูโดยรอบอย่างงัวเงีย ตรัสว่า “เราเหน็ดเหนื่อยมาทั้งวัน เผลอหลับไปงีบหนึ่ง เกิดอะไรขึ้นหรือท่านจึงรีบมาหาเราแต่เช้า” พระจักรีทรงแย้มสรวล กราบทูลว่า “พระปิตามหะเจ้าข้า งีบหนึ่งของพระองค์ก็นานพอที่สกลโลกจะถึงความพินาศโดยหมดสิ้น รวมทั้งพระเวทอันศักดิ์สิทธิ์เป็นหลักแห่งจักรวาลก็พลอยถูกขโมยไปด้วย ข้าไปเอากลับคืนมาถวายนี่แล้ว” “อะไรนะ ทุกสิ่งพินาศไปหมดแล้วหรือ ข้าสร้างสรรค์มาทั้งวันเหน็ดเหนื่อยเหลือประมาณ ตกลงข้าต้องเริ่มต้นสร้างกันใหม่หรือนี่” “มีเกิดก็มีดับ มีดับก็มีเกิด เป็นวัฏจักรหมุนเวียนกันอยู่เช่นนี้แหละพระเจ้าข้า” พระหริทูลยิ้มๆ “สกลโลกนี้ขึ้นอยู่กับพระองค์ เมื่อพระองค์หยุด ทุกสิ่งก็หยุดตามพระองค์ไปด้วย เมื่อพระองค์ตื่น ทุกสิ่งก็ดำเนินต่อไป ก็เป็นดั่งนี้ตลอดกาล เป็นงานที่พระองค์จะต้องกระทำอยู่เรื่อยไป บัดนี้เมื่อทรงตื่นแล้วก็เป็นเรื่องที่จะต้องทรงเริ่มต้นงานของพระองค์อีก ข้าขอทูลลาไปก่อน” “จะรีบไปไหน” “หน้าที่ของข้าเสร็จแล้วนี่พระเจ้าข้า ข้าอวตารลงไปเป็นปลาเพื่อปราบอสูรหยครีพ เอาพระเวทมาคืนให้พระองค์ และเพื่อแบ่งเบาธุระของพระองค์ ข้าก็ได้ช่วยชีวิตคนที่ดีที่สุดในโลกไว้คนหนึ่ง เขาจะได้เป็นมนุษย์คนแรกที่สร้างเผ่าพันธุ์ขึ้นในยุคใหม่ อันเป็นมันวันตระที่เจ็ดของโลกนี้” “ท่านเลือกใครเป็นพระมนูในยุคที่เจ็ด” “พระธรรมิกราชาทรงนามสัตยพรต พระเจ้าข้า คนผู้นี้เหมาะสมที่สุดที่จะเป็นปฐมกษัตริย์แห่งโลกในยุคนี้ ข้าจึงช่วยชีวิตเขาไว้ เพื่อที่เขาจักได้ทำหน้าที่ของพระมนูต่อไป ภาระของข้าเสร็จแล้วถึงคราวต้องพักผ่อนนอนหลับบ้าง คงอีกนานกว่าจะได้มาพบพระองค์อยู่ ข้าขอทูลลา” ตรัสจบพระวิษณุก็ถวายบังคมลาพระปิตามหะเสด็จออกจากพรหมโลก มุ่งหน้าไปยังฝั่งทะเลอันเป็นที่จอดเรือใหญ่ ซึ่งพระสัตยพรตราชาทรงคอยอยู่ พระไวกุณฐนาถทรงปรากฏพระองค์ต่อพระพักตร์พระราขาและสัปตฤษี ทรงแย้มยิ้มด้วยพระทัยอันเบิกบาน ตรัสว่า “ดูก่อนสัตยพรตราชา บัดนี้ก็เริ่มต้นพรหมทิวาแล้ว ถึงคราวที่จะต้องสร้างสิ่งทั้งปวงในโลกขึ้นอีกครั้งหนึ่ง ท่านจงเป็นปฐมกษัตริย์แห่งโลกสมัยที่เจ็ดนี้ จงได้นามว่า มนูไววัสวัต ท่านจงสร้างวงศ์กษัตริย์และเผ่าพันธุ์มนุษย์ต่อไป ฤษีทั้งเจ็ดนี้จะเป็นหลักในกิจการศาสนา บรรดาสัตว์ทั้งหลายที่ช่วยให้รอดตายมา จงปล่อยไปให้มันสร้างเผ่าพันธุ์ของมันให้แพร่หลายดังเดิม จงปลูกพฤกษานานาพรรณลงบนแผ่นดินให้งอกงาม ท่านจงสร้างกฎหมายขึ้นเป็นหลักในการปกครองชาวโลกอันจะได้ชื่อว่า มานวธรรมศาสตร์ หรือ กฎหมายพระมนู เป็นเกียรติยศแก่ท่าน ดูก่อนมนูไววัสวัต บัดนี้จะเริ่มต้นยุคที่หนึ่งของโลกในมันวันตระที่เจ็ดนี้ ยุคแรกของท่านจะได้ชื่อว่า กฤตยุค ถ้าจะนับความดีในมนุษย์ยุคนี้ว่ามีสี่ส่วนแล้วไซร้ ยุคนี้มนุษย์ก็จะมีความดีเต็มเปี่ยมทั้งสี่ส่วน หาข้อบกพร่องมิได้ ถัดจากนี้เป็นยุคที่สองชื่อ ไตรดายุค ความดีของมนุษย์จะเหลือสามส่วน ถัดไปเป็น ทวาปรยุค ความดีและความชั่วของมนุษย์จะก้ำกึ่งกันคือ สองส่วนต่อสองส่วน ยุคที่สี่อันเป็นยุคสุดท้ายจะชือว่า กลียุค เป็นยุคที่เสื่อมทรามที่สุด ความดีของมนุษย์จะเหลือเพียงส่วนเดียว และความชั่วนั้นจะมีถึงสามส่วน เมื่อสิ้นกลียุคแล้ว โลกนี้ก็จะถึงความพินาศ นั่นคือสิ้น พรหมทิวา และจะกลับไปสู่พรหมราตรีอีกครั้งหนึ่ง บัดนี้ท่านก็จงทำกิจของท่านในฐานะราชาองค์แรกของโลกเถิด” สิ้นเทวดำรัส พระจักรีเป็นเจ้าก็ทรงตบพระหัตถ์เรียกพญาครุฑมหาวิหคซึ่งเป็นเทพพาหนะเข้ามาเทียบ เสด็จขึ้นสู่หลังพญามหาปักษินอันโบยบินเร็วรุดเพียงสายฟ้าแลบ มุ่งหน้าสู่ไวกุณฐสถานในเกษียรสาครโดยฉับพลัน จากหนังสือ กัทลีครรภา โดย อ.ศักดิ์ศรี แย้มนัดดา พิมพ์ครั้งแรก ๒๕๓๔

ไม่มีความคิดเห็น: