02 สิงหาคม 2551

นรสิงห์

นรสิงห์ พญาอสูรร้ายฝาแฝด นามว่า “หิรัณยากษะ” (ผู้มีนัยน์ตาทอง) และ หิรัณยกศิปุ (ผู้มีเครื่องแต่งกายทอง) เป็นยอดอสูรดึกดำบรรพ์ที่มีฤทธานุภาพแกร่งกล้าหามีผู้ใดเสมอมิได้ อสูรผู้พี่นั้นมีใจกำเริบก่อการร้ายเบียดเบียนมนุษย์ไม่ให้มีที่อยู่อาศัย โดยม้วนแผ่นดินโลกเข้าด้วยกันประดุจม้วนเสื่อ แล้วนำไปซ่อนไว้ใต้มหาสาคร เป็นผลให้พระวิษณุต้องเสด็จอวตารลงมาปราบโดยทรงกำเนิดเป็นสุกรตัวใหญ่มหึมาแหวกสายสมุทรลงไปฆ่าพญาแทตย์ร้ายและซ้อนแผ่นดินกลับขึ้นมาวางบนแผ่นน้ำตามเดิม การสิ้นชีวิตของอสูรผู้พี่ทำให้พญาแทตย์ผู้น้องเคียดแค้นชิงชัง และตั้งจิตอาฆาตพระหริผู้เป็นเจ้าอย่างลึกซึ้ง คอยหาโอกาสแก้แค้นอยู่ พญายักษ์ร้ายแอบหนีไปซ่อนกายในที่อันเร้นลับเชิงภูผาหิมาลัย แล้วบำเพ็ญตบะอันอุตกฤษอุทิศถวายแด่พระพรหมธาดา กาลเวลาล่วงไปถึงห้าหมื่นปี พระกมลาสน์ทรงตระหนักในผลแห่งตบะกรรมอันล้ำเลิศที่พญายักษ์ได้สะสมมาด้วยวิริยะอันยิ่งยวด ก็มีความพอพระทัย เสด็จมาสู่ที่เฉพาะหน้าขุนมาร แสดงพระองค์ให้ปรากฏและตรัสถามว่า “ดูก่อนแทตยราชา เจ้าปรารถนาสิ่งใดจากข้า จึงสู้ทรมานกายบำเพ็ญตละช้านานถึงเพียงนี้ จงบอกมาเถิด ข้าจักให้พรแก่เจ้าตามปรารถนา” พญายักษ์ได้ฟังถ้อยคำขององค์พระครรไลหงส์ก็ยินดี รีบก้มกายลงกราบแลทูลขอพรตามที่คิดไว้อย่างชาญฉลาดว่า “ข้าแต่พระปิตามหะ ข้าพระบาทเป็นผู้น้อย ไม่มีอิทธิฤทธิ์ใดๆเป็นเครื่องต่อสู้ป้องกันตัว มีแต่ถูกข่มเหงรังแกอยู่เสมอ ข้าพระบาทจึงขอพระพรเพียงเพื่อป้องกันตัวเท่านั้น” “คืออย่างไร” “ข้าพระบาทขออย่าให้ตัวเองตายด้วยผีมือของมนุษย์หรือเทวดาตลอดจนสัตว์ทั้งหลาย มิให้ตายด้วยศัตราวุธใดๆ ไม่ตายในเวลากลางวัน หรือกลางคืน และมิให้ตายในเรือนหรือนอกเรือน ข้าพระบาททูลขอเพียงเท่านี้แหละพระเจ้าข้า” “เออ ฟังดูก็ประหลาดดี เจ้าช่างคิดอะไรอย่างนี้” พระจตุรพักตร์ทรงพระสรวลด้วยความขบขัน ตรัสด้วยพระพักตร์อันยิ้มแย้ม มิได้รู้ในเล่ห์กลอันลึกสุดหยั่งของขุนมาร “เอาเถอะ ข้าให้พรแก่เจ้าตามที่ขอทุกประการ” เมื่อพระผู้เป็นเจ้าเสก็จกลับไปแล้ว พญาแทตย์ร้ายก็เดินทางกลับสู่พระนคร มีความอิ่มเอิบกำเริบใจยิ่งนัก จำเดิมแต่บัดนั้น หิรัณยกศิปุก็เริ่มแผนการชั่วตามที่อาฆาตแค้นมานานครัน พยายักษ์เริ่มก่อการรังควานเบียดเบียนมนุษย์ทั้งหลายตลอดจนฤษีชีพรหมณ์มิให้มีความสุข บังเกิดความเดือดร้อนวุ่นวายไปหมดทั่วทั้งแผ่นดินโลก ผู้ใดแสดงตนว่าภักดีในองค์พระวิษณุ ก็จับตัวมาฆ่าเสียเลี้ยงดูแต่พวกสอพลอให้มีความสุข ในที่สุดก็ยึดได้แผ่นดินโลกทั้งหมดมาเป็นของตน ตั้งตัวเป็นจักรพรรดิเจ้าโลก แล้วกำเริบเสิบสานคิดช่วงชิงแดนสวรรค์จากพระอินทร์และทวยเทพทั้งปวงอีก หิรัณยกศิปุ นำกองทัพไปรุกรานนครอมราวดีในเทวภพหลายครั้งหลายครา พระอินทร์และทวยเทพต่อสู้ป้องกันอย่างเข้มแข็งแต่ก็ต้านทานไว้ไม่อยู่ ในที่สุดก็ต้องละสวรรค์หนีเอาตัวรอดแตกฉานซ่านเซ็นไปทุกทิศทุกทาง ขุนมารก็เข้าครอบครองสวรรค์แทนพระอินทร์ และต่อมามิช้าก็รวบเอาดินแดนบาดาลเบื้องล่างของโลกไว้ได้ทั้งหมด ประกาศตนเป็นเจ้าแห่งโลกทั้งสามโดยเด็ดขาด ท้าววัชรินทร์พาเทพบริวารที่เหลือรีบเดินทางไปยังไวกุณฐสถานอันเป็นที่ประทับของพระนารายณ์ในเวลามิช้า กราบทูลเรื่องทั้งปวงให้พระเป็นเจ้าทรงทราบโดยตลอด พระวิษณุทรงสดับแล้วนิ่งคิดไตรตรองอยู่ครู่หนึ่ง จึงตรัสอย่างใคร่ครวญว่า “พระปิตามหะทรงเสียทีต่อหิรัณยกศิปุแล้ว คงจะทรงนึกไม่ถึงว่ามันจะร้ายกาจถึงเพียงนี้ พระองค์ทรงทิ้งปัญหาไว้ให้เราต้องคิดแก้ไขอยู่เรื่อย ปัญหาคราวนี้ดูยอกย้อนซ่อนเงื่อนพิกลอยู่ จะแก้ไขฉันใดดี แต่เอาเถอะเรายินดีช่วย พวกท่านจงกลับไปก่อน จงแปลงกายเป็นมนุษย์เที่ยวปะปนกับชาวโลก อย่าให้มันจับได้ เราจะมองหาสู่ทางแก้ปัญหานี้เอง อีกไม่นานเราจะไปปราบมัน จงวางใจเถิด” เมื่อพระอินทร์และทวยเทพกลับไปแล้ว พระเป็นเจ้าก็บรรทมนิ่งบนพระแท่นบัวบานใต้พังพานแห่งพญาเศษะนาคราช ทรงครุ่นคิดตรึกตรองไปมา และกาลเวลาก็ล่วงไปเกือบพันปี ในระหว่างนั้นพญาอสูรก็สร้างความเดือดร้อนแสนสาหัสให้แก่ชาวโลกทั้งปวง พญายักษ์มีโอรสองค์หนึ่งเป็นที่เสน่หายิ่งนักชื่อ ประหลาท เป็นผู้ที่มีน้ำใจงดงาม มีความกรุณาปรานีและเกรงกลัวต่อบาป และมีความเคารพภักดีในองค์พระวิษณุเป็นที่ตั้ง มีความศรัทธาอย่างลึกซึ้งไม่คลอนแคลน ประหลาดเห็นพฤติการณ์ของบิดาเป็นไปในทางเบียดเบียนผู้อื่น สร้างบาปกรรมไว้เป็นอันมาก ก็พยายามแนะนำให้สติ แต่พญายักษ์ก็ไม่แยแส และเมื่อได้ยินโอรสกล่าวขวัญถึงนามพระวิษณุบ่อยๆก็ยิ่งเดือดดาลโทษะ ดังนั้นเพื่อตัดความรำคาญใจ พญาแทตย์จึงมอบบุตรของตนให้แก่คณะพราหมณ์ไปอบรมสั่งสอน ให้เลิกบูชาพระวิษณุและเห็นดีเห็นชอบในการกระทำของตน คณะพราหมณ์รับเอากุมารน้อยไปอบรมสั่งสอนในศิลปวิทยาการและโน้มน้าวใจให้ห่างเหินจากกพระเป็นเจ้า มุ่งภักดีต่อพญาแทตย์ผู้เป็นบิดาแทน เมื่อพราหมณ์นำประหลาทมาถวายคืนแก่เจ้าไตรภพ พญายักษ์ก็เล้าโลมเอาใจราชบุตรด้วยความเมตตา และโอ้อวดอำนาจต่างๆของตนแต่พระกุมารหาได้ใจอ่อนยอมเห็นดีกับอำนาจราชศักดิ์ของบิดาไม่ ยังยืนยันในความภักดีในองค์พระวิษณุตามเดิม พญายักษ์เคืองแค้นยิ่งนัก ด่าว่าคณะพราหมณ์ต่างๆจนสาใจแล้วกล่าวว่า “เอาอ้ายลูกนอกคอกนี่ไปอบรมใหม่ อีกสิบปีค่อยส่งมันคืนมาข้าจะดีซิว่าพวกเจ้าทำงานได้ผลสักแค่ไหน” สิบปีต่อมา คณะพราหมณ์อบรมสั่งสอนประหลาทเรียบร้อยแล้ว ก็นำกลับมาเฝ้าพญาอสูร หิรัณยกศิปุมีความยินดีที่ได้เห็นหน้าลูกรักอีก รีบเข้ามาสวมกอด อุ้มให้นั่งบนตักกล่าวด้วยความปราณีว่า “เจ้าก็เรียนรู้สรรพวิทยามามากแล้ว ฉันทศาสตร์เจ้าก็รู้อยู่เจนใจ ไหนลองแต่งฉันท์สดุดีพ่อสักสองสามบทซิลูก” ประหลาทแต่งฉันท์ขึ้นทันทีสิบบทด้วยปฏิภาณโวหารอันไพเราะ แต่กลับกลายเป็นฉันท์สดุดีพระวิษณุทั้งสิ้น พญายักษ์ฟังแล้วแสนจะแค้นใจ ผลักลูกรักตกลงจากตักตวาดเสียงดังสนั่นหวั่นไหว “อ้ายลูกจัญไร เจ้าบังอาจสดุดีพระวิษณุต่อหน้าพ่อเทียวหรือ ทั้งๆที่รู้ว่าพ่อไม่ชอบ พ่อเกลียดจนไม่อยากได้ยินชื่อเจ้าก็ยังทำ จะเย้ยหยันพ่อหรือไร เมื่อเจ้าเห็นศัตรูดีกว่าพ่อ เราก็อย่าอยู่ร่วมโลกกันเลย” กล่าวจบพญายักษ์ผู้มากด้วยความคั่งแค้นพยาบาทก็สั่งทหารนำตัวกุมารไปให้บรรดานาคทั้งหลายรุมกัดร่างฉีกขาดเป็นชิ้นๆ แต่กุมารหาได้แสดงความหวาดกลัวไม่ สำรวมจิตมั่นคงแน่วแน่กล่าวมนตร์สรรเสริญพระวิษณุ บรรดางูร้ายพยายามกัดทึ้งเนื้อหนังมังสาอยู่ช้านานก็กัดไม่เข้า พญายักษ์ทราบเรื่องก็ยิ่งพิโรธหนักขึ้น สั่งนำช้างบ้าเมามันมาทำร้าย แต่ช้างก็มิอาจทำอันตรายกุมารได้ หิรัณยกศิปุสั่งให้จุดไฟเผา แต่ไฟอันร้อนแรงก็กลับกลายเป็นแสงเย็นเหมือนรัศมีพระจันทร์ พระกุมารหาได้เป็นอันตรายไม่
ในที่สุดหลังจากพยายามประหัตประหารจนหมดทุกวิธีแล้ว พญายักษ์ก็สิ้นปัญญากอดอกรำพึงว่า “เราจะทำอย่างไรมันก็ไม่ตาย มันมีศรัทธาในพระวิษณุมั่นคงนัก ดังภูผาปักอยู่ในปฐพีมิคลอนแคลน จะเอาชนะมันด้วยอำนาจไม่ได้ น่าที่จะยอมอ่อนข้อให้มันก่อน ทำลายศรัทธาของมันให้หมดไปเสีย เมื่อมันสิ้นศรัทธา มันก็จะมาหาเราเอง” ดำริได้ฉะนี้พญามารก็เสแสร้งทำใจดีโอบกอดกุมารไว้ ปะเหลาะถามว่า ”พ่อคุณของพ่อ เจ้ายืนยันว่าเจ้ามีศรัทธาในพระวิษณุอย่างมั่นคงพ่อก็ไม่ว่าอะไรหรอก แต่ลูกไม่คิดดูให้ถ่องแท้ก่อนหรือว่า เจ้าคิดผิดหรือเปล่า” “ลูกไม่ได้คิดหรอก แต่ลูกศรัทธาในพระเป็นเจ้าด้วยความจริงใจ” ประหลาทตอบ “การศรัทธาต้องมีเหตุผล” พญายักษ์กล่าวยิ้มๆ “เจ้ามีเหตุผลอะไร เจ้าเคยเห็นพระวิษณุหรือ พระวิษณุเคยตรัสแก่เจ้าหรือ” “ลูกไม่เคยเห็นพระวิษณุหรอก และพระองค์ก็ไม่เคยตรัสแก่ลูกด้วย” “นั่นน่ะซิ” พญายักษ์ถูมือไปมาเมื่อเห็นว่าตนกำลังจะต้อนฝ่ายตรงข้ามเข้ามุม กล่าวอย่างมีชัยว่า “ เห็นไหมเล่า เจ้านึกคิดไปเอง เจ้าเพ้อฝันไปเอง แท้จริงไม่มีพระวิษณุ เพราะถ้ามีเจ้าก็ย่อมจะเห็น และพระองค์ก็มิได้ตรัสอะไรแก่เจ้า เพราะถ้าพระองค์ตรัส เจ้าก็ย่อมจะได้ยินเสียงของพระองค์ นี่อะไร รูปก็แลไม่เห็น เสียงก็ไม่ได้ยิน เจ้าจะยังพร่ำเพ้อต่อไปอีกหรือว่าพระวิษณุมีจริง และเจ้ารู้จักพระองค์ เจ้ามิได้สร้างศรัทธาขึ้นเหลวๆเพื่อปลอบใจเจ้าเอง” “เปล่าหรอกท่านพ่อ พระวิษณุทรงเป็นพระเจ้าของลูก ลูกเชื่อมั่นในพระองค์อย่างไม่คลอนแคลน ถึงจะไม่เห็นด้วยตา ไม่ได้ยินเสียงด้วยหู จะแปลกอะไร พระเป็นเจ้าทรงสถิตอยู่ในที่ทุกหนทุกแห่ง ทรงสถิตในดวงจิตมนุษย์ ในก้อนหิน ในต้นไม้ ในสายน้ำ ในอากาศ ไม่มีที่ใดหรือสิ่งใดในโลกที่พระองค์จะทรงสถิตอยู่ไม่ได้” “แม้แต่ในปราสาทที่พ่ออยู่นี้ด้วยหรือ” พญาอสูรถามเยาะๆ “ถูกแล้วพระเจ้าข้า” “ฮะ ฮะ ช่างน่าขำ” พญายักษ์เปล่งเสียสำรวลสนั่นหวั่นไหว “พูดออกมาได้ว่าพระวิษณุสถิตอยู่ทุกหนทุกแห่งแม้ในปราสาทของข้า ไหนเล่าที่เสาต้นนี้มีไหม” กล่าวจบพญายักษ์ก็สำรวลซ้ำอย่างเย้ยหยัน สิ้นเสียงสำรวล พลันเสาต้นใหญ่ที่อยู่เบื้องหน้าบัลลังก์ก็แตกออกมีบุคคลประหลาด มนุษย์ก็ไม่ใช่ สัตว์ก็ไม่เชิง รูปร่างครึ่งคนครึ่งสิงห์ก้าวออกมาอย่างองอาจ คำรามกึกก้องปราดเข้าจิกศีรษะหิรัณยกศิปุลากตัวไปจนถึงกึ่งกลางธรณีประตู ร่างของพญายักษ์คาอยู่ในปราสาทครึ่งหนึ่งยื่นออกไปนอกปราสาทครึ่งหนึ่ง ขณะนั้นพระอาทิตย์ก็โคจรลับขอบฟ้าไปแล้วทิ้งแต่ความขมุกขมัวโดยรอบด้าน นรสิงห์ก้มหน้าลงจ้องสายตาพญายักษ์อย่างถมึงทึง ชูกรงเล็บอันแหลมคมให้ดูถามว่า “นี่อะไร ศัสตราวุธใช่หรือไม่” “ไม่ใช่อาวุธหรอก มันเป็นแค่เล็บเท่านั้นเอง” พญายักษ์ตอบ “แล้วข้านี่คืออะไร สัตว์หรือคน” “ไม่ใช่คน ไม่ใช่สัตว์แน่นอน ข้าไม่เคยพบเห็นมาก่อน” “ดีล่ะ” นรสิงห์ขู่คำราม “ แล้วเวลานี้กลางคืนหรือกลางวัน” “ไม่ใช่กลางคืน ไม่ใช่กลางวัน เป็นเวลาโพล้เพล้สนธยา” “แล้วร่างของเจ้านอนอยู่ที่ไหน ในเรือน หรือนอกเรือน” “ก็ไม่เชิงในเรือน” หิรัณยกศิปุอึกอัก “และก็ไม่ใช่นอกเรือนด้วย” “ถ้ากระนั้น พรของพระพรหมก็ช่วยอะไรเจ้าไม่ได้อีกแล้ว” นรสิงห์แสยะเขี้ยวอย่างลำพอง “เพราะพรที่เจ้าขอนั้นไม่มีลักษณะดังนี้ ฉะนั้นเจ้าต้องตาย เวลาตายของเจ้าได้มาถึงแล้ว” กล่าวจบนรสิงห์ก็ขยุ้มกรงเล็บอันแหลมคมลงบนท้องของหิรัณยกศิปุกระชากแหวะออกเต็มแรงจนแยกเป็นสองซีก พญายักษ์จอมอำมหิตก็จบชีวิตลง พอดีกับความมือแห่งราตรีเข้าครอบคลุม และร่างของนรสิงห์ก็อันตรธานหายไป ไม่มีร่างของนรสิงห์อีกต่อไป แต่บนฟ้ากว้างอันพร่างพรายด้วยดวงดาวระยิบระยับ พญาครุฑมหาวิหคกำลังโบยบินไป นำพระผู้เป็นเจ้าเสด็จกลับคืนเกษียรสาครในสวรรค์ไวกุณฐ์โพ้น จากหนังสือ กัทลีครรภา โดย อ.ศักดิ์ศรี แย้มนัดดา พิมพ์ครั้งแรก พ.ศ. ๒๕๓๔

ไม่มีความคิดเห็น: